
สิ้นปีงบประมาณ 2560ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมว.สธ.)เปิดเผยข้อมูลว่า โรงพยาบาลสังกัด สธ.มีประมาณ 10,000 แห่ง เป็นโรงพยาบาลศูนย์(รพศ.)/โรงพยาบาลทั่วไป(รพท.) 100 กว่าแห่ง โรงพยาบาลชุมชน(รพช) 800 กว่าแห่ง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) 9,000 กว่าแห่ง ประสบปัญหาวิกฤติการเงินระดับ 7 ที่เป็นระดับสูงสุด 87 แห่ง ลดลง 32 แห่งจากปีงบประมาณ 2559 ที่มีจำนวน 119 แห่ง
"รพ.ที่ประสบปัญหาวิกฤตทางการเงิน ไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อ1-2 ปี แต่เกิดมาหลายปี และค่อยๆ เพิ่มขึ้นแม้งบจะเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและการดูแลสุขภาพประชาชน ไม่มีประเทศไหนในโลกที่มีงบประมาณเพียงพอ แม้จะเป็นประเทศที่มีรายได้มากอย่างอังกฤษหรือญี่ปุ่น ในส่วนของประเทศไทยรัฐบาลได้จัดสรรงบให้ลงมาอย่างจำกัด ในปีที่ผ่านมาค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพได้รับการจัดสรรเพิ่มขึ้น แม้งบประมาณทั้งประเทศจะลดลง แต่สัดส่วนประชากรที่มีผู้สูงอายุมากขึ้นถึง 1 ใน 4 ย่อมมีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดาและเข้ารับการดูแลรักษา และเทคโนโลยีในการรักษาสูงขึ้น แต่ราคาก็แพงขึ้นด้วย"ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าว
ท่ามกลางความพยายามในการแสวงหลากหลายช่องทางเพื่อเพิ่มเงินเข้าสู่ระบบสาธารณสุขของประเทศ นอกเหนือจากเงินงบประมาณจากรัฐ ซึ่งยังมีความเห็นต่างและยังไร้ข้อสรุป ทว่า แนวทางหนึ่งที่สธ.ชูเป็นนโยบาย คือ"รพ.ประชารัฐ"ที่จะเป็นแนวทางหลักในการพัฒนารพช.หรือรพ.ประจำอำเภอ โดยมีแนวคิดหลัก"การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนารพ.ในพื้นที่"จะครอบคลุมกว่า 800 แห่งภายในปี 2562
"หลักในการทำงาน คือ เข้มแข็งจากภายใน เติบโตไปด้วยกัน และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อให้เป็นโรงพยาบาลที่มากกว่าโรงพยาบาล โดยคนในพื้นที่รู้สึกเป็นเจ้าของ และมีส่วนร่วมในการพัฒนาต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นการขับเคลื่อนการปฏิรูประบบสุขภาพระดับอำเภอ ที่เน้นการทำงานและการใช้ทรัพยากรร่วมกันของทุกภาคส่วนในท้องถิ่น เพื่อให้มีรพ.ที่ไม่ต้องรอนาน และค่ารักษาพยาบาลไม่แพง"ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล ขยายความ
จะว่าไปหนึ่งในรูปแบบ "รพ.ประชารัฐ"ที่ประสบความสำเร็จอย่างชัดเจนที่สุด ณ เวลานี้ น่าจะเป็น "รพ.บ้านแพ้ว(องค์การมหาชน)" อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร ที่สามารถพัฒนาจากรพช.ขนาด 10 เตียง จนกลายเป็นรพ.องค์การมหาชนแห่งเดียวของประเทศไทย โดยเมื่อปี 2543 มีการออกพรฎ.โรงพยาบาลบ้านแพ้ว(องค์การมหาชน) ซึ่งจุดพลิกผันหนึ่งที่สำคัญของรพ.แห่งนี้ คือ การที่รพ.ประสานความร่วมมือของทุกภาคส่วนในชุมชนเข้ามาร่วมพัฒนา รวมถึง การได้รับเงินบริจาคจากวัด ภาคเอกชนและประชาชนในพื้นที่ เพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงรพ.และการบริการให้กับประชาชน
ปัจจุบัน รพ.บ้านแพ้ว(องค์การมหาชน) บริหารงานในรูปแบบของ"คณะกรรมการบริหารโรงพยาบาลบ้านแพ้ว"ซึ่งประกอบด้วย ประธานกรรมการบริหาร สรรหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ แต่ต้องมิใช่ข้าราชการ กรรมการโดยตำแหน่ง 3 คน ได้แก่ ผู้แทนจากสธ. ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน และ กรรมการผู้แทนชุมชน 3 คน สรรหาจากคนที่มีภูมิลำเนาอยู่ในชุมชนไม่น้อยกว่า 2 ปี สำหรับการให้บริการ มีคลินิกแพทย์เฉพาะทาง อีกทั้งยังมีการขยายสาขาของรพ.ไปยังพื้นที่อื่นด้วย อาทิ รพ.บ้านแพ้ว สาขาสาทร อาคาร TPI Tower รพ.บ้านแพ้ว สาขาประสานมิตร รพ.บ้านแพ้ว สาขาเจริญกรุง และศูนย์แพทย์และทันตกรรม รพ.บ้านแพ้ว สาขาศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ เป็นต้น
สิ่งสำคัญ ในแง่ที่มาของเงินในการบริหารโรงพยาบาล ในรายงานประจำปี 2559 ของ รพ.บ้านแพ้ว ระบุรายได้หลักจาก 8 แหล่ง ได้แก่ งบประมาณ 2.76% รายได้อื่นๆจากภาครัฐ 2.43 % รายได้จากการรักษาพยาบาล 74.51 % รายได้โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทองแ 6.23% รายได้จากสำนักงานประกันสังคม 2.81 % รายได้จากการขายยาและเวชภัณฑ์ 0.24 % รายได้จากการอุดหนุนและบริจาค 5.17 % และรายได้อื่น 5.82 % ซึ่งจะเห็นได้ว่ารพ.มีรายได้จากการบริจาคมากกว่ารายได้จากงบประมาณเกือบ 1 เท่าตัว
ผลการดำเนินงาน ในปี 2552 มีผู้ป่วยนอก 518,014 ครั้ง ผู้ป่วยใน 16,636 คน ในปี 2559 ผู้ป่วยนอกเพิ่มเป็น 799,434 ครั้ง และผู้ป่วยใน20,503 คน โดยมากที่สุดเป็นผู้ป่วยสิทธิ บัตรทอง 46 % สิทธิเบิกได้ 23 % ประกันสังคม 15 % อื่นๆ 15 % และต่างด้าว 1 %โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2559 รพ.บ้านแพ้ว(องค์การมหาชน)มีรายได้สูงกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิ 63.646 ล้านบาท มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดคงเหลือ 168.254 ล้านบาท
สำหรับการดำเนิน รพ.ประชารัฐ ในรพช.หลังจากที่สธ.ประกาศเป็นนโยบายชัดเจน มีรพ.ระดับอำภอที่ขานรับ 38 แห่ง โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ ในระยะแรกมี 20 แห่ง เป็นโรงพยาบาลที่มีห้องพิเศษอยู่แล้ว ขณะนี้ดำเนินการแล้วที่ รพ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น ส่วน รพ.น้ำพอง จะเริ่มเปิดดำเนินการในปลายปีนี้ ส่วนเฟสที่สอง อีก 18 แห่งที่ยังไม่มีห้องพิเศษ ต้องรองบประมาณและสร้างตึกให้เรียบร้อยก่อนจึงดำเนินการได้ คาดว่าต้องใช้งบแห่งละ 20 ล้านบาท แต่ระหว่างนี้ก็จะดำเนินการสร้างการมีส่วนร่วมเช่นเดียวกับ 20 โรงพยาบาลในเฟสแรก เช่น การจ้างงานคนพิการ การจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ดูแลผู้ป่วยติดบ้าน ติดเตียง เป็นต้น
นพ.อภิสิทธิ์ ธำรงวรางกูร ผอ.รพ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่นเล่าว่า รูปแบบรพ.ประชารัฐที่รพ.อุบลรัตน์นำมาใช้เริ่มจากการสอบถามความต้องการถึงแนวทางการพัฒนารพ.ที่ต้องการจึงเกิดเป็น"ห้องพิเศษแบบเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข"โดยให้ชาวบ้านที่ยังไม่ป่วยและสมัครใจบริจาคให้โรงพยาบาลวันละ 3 บาท หรือปีละ 1,000 บาท เมื่อบริจาคแล้วจะได้บุญไม่เจ็บป่วย แต่หากเจ็บป่วยจะมีห้องพิเศษให้พักรักษาฟรี ไม่ต้องเข้าคิวรอและไม่ต้องหมดเงินเป็นหมื่นเป็นแสน ซึ่งหากประเมินดูว่าประชากรร่วมสมทบ 10,000 คน บริจาคคนละ 1,000 บาทต่อปี จะได้เงินบริจาคปีละ 10 ล้านบาท
เงินที่ได้จะแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1.ชำระเป็นค่าห้องพิเศษให้รพ.อุบลรัตน์ตามระเบียบที่ราชการกำหนด โดยปัจจุบัน รพ.อุบลรัตน์ ก่อสร้างอาคารสมเด็จพระพุฒาจารย์บารมีธรรม พระมงคลพรหมสารแล้วเสร็จ และมีห้องพิเศษจำนวน 20 ห้อง พักรักษาได้ห้องละ 1-2 คน รวมราว 40 เตียง 2.เป็นทุนในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวอุบลรัตน์ด้วย โดย1 ใน 3 ใช้ในการส่งเยาวชนจิตอาสาที่ดีที่สุดและอยากเป็นพยาบาลชุมชนไปเรียนพยาบาล รวมทั้งจ้างงานมาเป็นพยาบาล และ3.นำมาใช้พัฒนาชาวบ้านที่ร่วมบริจาคแล้วมีช่วงจังหวะหนึ่งที่อาจจะบริจาคต่อไม่ไหวเพื่อให้สามารถบริจาคได้ต่อเนื่อง ภายใต้ยุทธศาสตร์ "กล้วยๆหมูๆ"ด้วยการมอบหน่อกล้วยให้ไปปลูก 10 หน่อขึ้นไปและนำลูกหมูไปเลี้่ยง 1 คู่ ซึ่งมูลลูกหมูจะเป็นปุ๋ยให้หน่อกล้วยทำให้กล้วยผลใหญ่ น่าจะได้ไม่ต่ำกว่า 10 เครือ หากขายเครือละ 100 บาท ได้เงินไม่ต่ำกว่า 1,000 บาทก็สามารถบริจาคต่อเนื่องได้ ขณะที่ลูกหมู 1 คู่จะออกลูกไม่ต่ำกว่า 2 คอก รวมมากกว่า 5 ตัว ตัวละ 600 บาทขึ้นไป มีรายได้ 3,000 บาท สามารถนำไปเป็นทุนทางการเกษตรและเชิญชวนสมาชิิกในครอบครัวมาร่วมบริจาค ไม่เพียงเท่านี้ ยังนำเงินส่วนที่เหลือมาทำกิจกรรมต่างๆที่เป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่คนอุบลรัตน์ด้วย เช่น จ้างงานผู้พิการในพื้นที่
เมื่อนำ "ประชา"คือชาวบ้านในท้องถิ่นที่ตั้งรพ.ที่จะเป็นผู้ใช้บริจาค เข้ามามีส่วนร่วมในการส่งเสริม สนับสนุนการดำเนินงานของรพ. ร่วมกับ "รัฐ" ในรูปแบบ "ประชารัฐ" เชื่อว่า นี่จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยในการแก้วิกฤติสาธารณสุข ทั้งในเรื่องเงินไม่พอ หรือความสัมพันธ์ที่แย่ลงของบุคลากรทางการแพทย์และชาวบ้าน เพราะการพัฒนาจะเกิดขึ้นจากความเห็นพ้องของทุกภาคส่วนในชุมชน ตามความต้องการของชุมชน และจะเกิดผลอย่างยั่งยืน