
จากการสอบถามเจ้าของร้านจำหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายแห่ง ได้ข้อมูลตรงกันว่า เครื่องตรวจจับความเร็วที่ทางร้านเคยนำมาขาย ส่วนใหญ่จะนำเข้ามาจากประเทศจีน โดยสนนราคาอยู่ที่หลักพันบาทต่อเครื่องเท่านั้น แต่เรื่องนี้ไม่สามารถบอกได้ว่าเครื่องตรวจจับความเร็วที่ ปภ.จะซื้อ แพงเกินไปหรือไม่ เพราะต้องดูสเปคเป็สนหลัก แต่เครื่องที่ราคาระดับหมื่น หรือหลายๆ แสน ทางร้านยังไม่เคยเห็นเหมือนกัน
เมื่อถามถึงประเด็นทางเทคนิคของเครื่องตรวจจับความเร็ว เจ้าของร้านจำหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ บอกว่า ส่วนใหญ่จะนิยมใช้แบบ "ติดตั้ง" เพราะคุณภาพดีกว่าแบบ "พกพา" ที่สำคัญแบบพกพาไม่ค่อยมีใครนำมาขาย เนื่องจากกลัวว่าจะถูกเจ้าหน้าที่จับกุม
อีกด้านหนึ่ง "ล่าความจริง" ได้สอบถามไปยังนายตำรวจที่รับผิดชอบงานด้านการจราจร ซึ่งถือว่าเป็นผู้ใช้งาน "เครื่องตรวจจับความเร็ว" ตัวจริงเสียจริง เพื่อไขข้อข้องใจว่าราคาเครื่องที่ใช้หรือเคยจัดซื้ออยู่ที่เท่าไหร่กันแน่ ได้รับคำชี้แจงว่า เครื่องตรวจจับความเร็วที่ตำรวจใช้มีอยู่ 2 แบบคือ
1.แบบที่จับความเร็วโดยใช้สัญญาณจีพีเอส ซึ่งเคลื่อนย้ายได้
กับ 2.แบบที่จับความเร็วโดยใช้สัญญาณเลเซอร์ ซึ่งกองบังคับการตำรวจทางหลวง เป็นหน่วยที่นำมาใช้
เครื่องตรวจจับความเร็วที่ตำรวจทั่วไปใช้ คือแบบแรก เป็นแบบใช้สัญญาณจีพีเอส ตำรวจนครบาลก็ใช้เครื่องแบบนี้ ลักษณะของเครื่องก็อย่างที่เราเคยเห็นกัน คือมีขาตั้ง เคลื่อนย้ายได้ แต่ไม่ได้มีขนาดเล็กเท่าเครื่องพกพา
วิธีใช้งานเครื่องตรวจจับความเร็วแบบจีพีเอส เครื่องจะยิงจับความเร็วผ่านสัญญาณจีพีเอสที่เชื่อมต่อกับกล้องโทรทัศน์วงจรปิด หากรถที่ผ่านกล้องใช้ความเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ก็จะแสดงผลไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ ก่อนจะประมวลผลออกมาเป็นใบสั่งจราจร เพื่อให้ผู้ขับขี่จ่ายค่าปรับ (เรียกว่าเป็นเครื่องครบวงจร คือจับความเร็ว ประมวลผล และปรินท์ใบสั่งออกมาได้เลย)
เครื่องตรวจจับความเร็วแบบนี้ ตำรวจจราจรใช้อยู่ทั่วไป จัดซื้อมาตั้งแต่ปี 2553 ราคาอยู่ที่เครื่องละหลายแสนบาท (เพราะชุดหนึ่งจะมีตัวเครื่อง ขาตั้ง เครื่องคอมพิวเตอร์ และเครื่องปรินท์) มีอยู่ทั้้งหมด 11 เครื่อง ส่วนอัตราความเร็วที่ตำรวจกำหนดไว้คือ ความเร็วที่ใช้บนมอเตอร์เวย์ ต้องไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ถ้าเป็นทางด่วนทั่วไป ความต้องต้องไม่เกิน 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ข้อมูลเรื่องราคา จากที่ได้สอบถามทั้งสองด้าน ต้องบอกว่าขึ้นกับสเปคและความจำเป็นจริงๆ ฉะนั้นหากจะซื้อเครื่องราคาหลักแสน หรือเกือบ 1 ล้านบาท คงต้องนำสเปคมาเปิดเผยกันชัดๆ ว่าเป็น "สเปคเทพ" แค่ไหน แล้ววันนั้นถึงจะบอกได้ว่าราคาแพงจริงหรือไม่จริง