
จะจริงเท็จอย่างไรไม่รู้ แต่เตือนความจำว่าคดีนี้กำลังจะหมดอายุความปีหน้า ดังนั้น ผู้มีหน้าที่ไขความจริง จะต้องเร่งดำเนินการ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเปล่า?
ดังนั้นวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมาจึงมีการแท็กทีมประชุม 3 ฝ่าย ทั้ง ดีเอสไอ, อัยการ และเจ้าหน้าที่จากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) คุยกันเสร็จสรรพ
พบว่ามีบางประเด็นต้องสอบสวนให้เกิดความชัดเจน รวมถึงเส้นทางการเงินต่างๆ ก็ต้องไปหามาให้หมด โดยชั้นนี้ ยังไม่มีความจำเป็นต้องเรียกลูกโอ๊คมาสอบปากคำเพิ่มเติม!
งานนี้ ก็ไม่รู้ว่าเป็นการดักคอดีเอสไอ และอัยการ ของกองเชียร์ลูกโอ๊คหรือไม่ แต่หลายคนก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าจะบอกว่า นี่คงถึงคราของ "โอ๊ค" ก็คงไม่แปลกเหมือนกัน!
ย้อนไปดูคดีนี้ แบบเข้าใจง่าย เรื่องเริ่มจากเดิมทีนั้น กลุ่มบริษัทกฤษดามหานคร ที่มีสถานะอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคาร พูดง่ายๆ ว่า "ติดแบล็กลิสต์" ไม่มีสิทธิกู้ ในวงการการเงิน
แต่กฤษดามหานครไปตั้งบริษัทใหม่มากู้เงินกรุงไทยโดยระบุว่าจะเอาเงินไปทำโปรเจกท์ยักษ์ ปรากฏว่าแบงก์อนุมัติสินเชื่อให้กู้ราวเกือบหมื่นล้านบาท แบบผ่านง่ายๆ ไม่มีข้อท้วงติงสงสัย
ภายหลังมีการพบความผิดปกติว่า หลังจากปล่อยกู้ผ่าน ก็ได้มีการโอนเงินบางส่วน กระจายไปยังตระกูลนักการเมืองชื่อดัง รายละหลักสิบล้าน โดยไม่พบว่าเงินที่กู้ได้ มีการนำไปใช้ตามโครงการที่ขอกู้หรือไม่
โดยช่วงปี 2551 คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ได้ส่งสำนวนไปยัง คณะกรรมการป้องกันและและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้เอาผิด ทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยที่ 1 กับพวกรวม 27 ราย โดยสำหรับทักษิณนั้น คือ ข้อหาร่วมและสนับสนุนการกระทำผิด
แต่แล้ว เรื่องนี้ยืดเยื้อมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะที่ไม่ค่อยมีความคืบหน้าเลยคือ ในส่วนของ โอ๊คและพวกคือ 1.พานทองแท้ ชินวัตร 2.กาญจนาภา หงษ์เหิน เลขาฯส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ชินวัตร(ขณะนั้น)3.วันชัย หงษ์เหิน สามีกาญจนาภา และ 4.มานพ ทิวารี บิดาของ น.ต.ศิธา ทิวารี อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย
ที่ก่อนหน้านี้ คตส.ระบุว่า 4 คนนี้ ต้องถูกดำเนินคดีอาญามาตรา 357 ฐานรับของโจร แม้จะไม่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดกับบุคคล 27 รายข้างต้น
แต่ได้รับเงินที่ได้จากการกระทำความผิดฐานยักยอก และช่วยปิดบังซ่อนเร้น อันทำให้ยากต่อการติดตาม ดังนั้น ให้แยกสำนวนไปดำเนินคดีในศาลอาญาต่อไป
ที่สุดเรื่องราวก็ยังคงยืดเยื้ออีกครั้ง จน คตส.ต้องส่งไม้ต่อให้ "ดีเอสไอ" ซึ่งแม้จะรับลูกมาแล้ว แต่เรื่องก็ยังเงียบเรื่อยมา
จนถึงช่วงปี 2555 ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรปรากฏว่าอัยการสูงสุดเวลานั้น ก็มิได้สั่งฟ้องศาลฎีกาฯ บุคคลกลุ่มนี้อยู่ดี
โดยระบุว่าเนื่องจากไม่ใช่ข้าราชการ ทาง ป.ป.ช.จึงไม่สามารถดำเนินคดีกับบุคคลทั้ง 4 ได้ ก็เป็นหน้าที่ดีเอสไอต้องทำต่อไป
ท่ามกลางฤดูกาลทางการเมืองที่สลับขั้ว สลับข้างไปมา จนมาถึงวันนี้ ในยุคของ คสช.ที่หลายคนรอดูกันอยู่ โดยเฉพาะในส่วนของ "ก๊วนโอ๊ค" ที่ว่าจะต้องโดน 2 ข้อหา
แม้ว่าข้อหารับของโจร หมดอายุความไปแล้วช่วงปี 2557 (คดีนี้เกิดแต่ปี 2547 มีอายุความ 10 ปี) แต่ยังมีข้อหาฟอกเงิน ที่หลายคนอยากรู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
ที่สุด ในคำตัดสินช่วงปี 2558 ปรากฏว่าได้มีการพิพากษาออกมา แต่เป็นในส่วนของคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
วันนั้นหากจำกันได้ แต่ละคนเจอคุกกันไปคนละสิบกว่าปี แบบไม่คาดคิดว่าโทษจะหนักหนาถึงขั้นนี้!
กระนั้นก็ดี ก็ยังมีอีกหลายคน ที่คนไทยยังงงๆ ว่า ทำไมไม่โดนด้วยสักที!
โดยถ้าไม่นับจำเลยที่ 1 ซึ่งหนีไปแล้ว และศาลได้สั่งให้จำหน่ายคดีไว้ชั่วคราว ก็จะยังเหลือก๊วน 4 คน "เจ้าเก่า" ที่ยังคงเดินทอดน่องอยู่ข้างนอก
ที่สุดเมื่อถึงวันนี้ ที่แฟ้มของ "โอ๊คและพวก" กำลังถูกหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นและพลิกดูอีกครั้ง ดังที่กำลังเป็นข่าว
หันไปดูข้างเจ้าตัว โอ๊ค พานทองแท้ ถามว่า ปฏิกิริยาของเขาต่อเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ปรากฏว่าเงียบหนักมาก!! โดยความเคลื่อนไหวทางเฟซบุ๊ก Oak Panthongtae Shinawatra ก็มีแต่เรื่องราวของพ่อแม้ว
และครั้งสุดท้ายคือเรื่องของ "อาปู" ช่วงวันที่ 17 สิงหาคม 2560ส่วนเรื่องของตนเองนั้น โอ๊คไม่ได้กล่าวถึงแต่อย่างใด มาจนถึงนาทีนี้!
จะมีก็แต่ความเคลื่อนไหวของ ขัตติยา สวัสดิผล หรือ "ลูกเดียร์" อดีต ส.ส. เพื่อไทย หนึ่งในคณะทำงานด้านกฎหมาย ที่โอ๊คเพิ่งตั้งเมื่อ 2 ปีก่อน ช่วงที่เขาต้องเข้าให้ถ้อยคำดีเอสไอ และส่งมอบเอกสารหลักฐาน "ในฐานะพยาน" ในเดือนมีนาคม 2559
เวลานั้นสาวเดียร์ก็แอ็กชั่นแรงๆ ว่าถ้าใครกล่าวหาโอ๊คในทางเสื่อมเสีย จะฟ้องให้หมด!!
แต่ที่แน่ๆ การประชุมล่าสุด คณะพนักงานสอบสวนมีมติว่า อาจจะสามารถดำเนินคดีในข้อหาฟอกเงินได้ เพราะพบหลักฐานในการกระทำความผิดเกินกว่าครึ่งแล้วซึ่งก็ต้องดูอีกทีว่าหลักฐานนั้น จะมีน้ำหนักเพียงพอหรือไม่
ถึงตรงนี้ จึงน่าติดตามยิ่ง ว่าเอาเข้าจริงๆ แล้ว โอ๊คคิดอะไรอยู่กันแน่? เงียบจ้อยแบบนี้ กลัวใจจริงๆ!