
น.ส.ฐิชารัศม์ เพิ่มเติมว่า ดังนั้นก็หมายถึงว่าแม้แต่มียาที่ดีที่สามารถรักษาได้แต่ดิฉันก็ไม่มีปัญญาได้ใช้มันเพราะประกันสังคมได้ตั้งกฎที่ตลกมากคือให้ยารักษาคนที่เป็นระยะแรก แต่ระยะที่ 2 และ ระยะที่ 3 ไม่ให้เบิกยา อยากทราบว่าประกันสังคมจะปล่อยให้ผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบมาเป็นเวลาสิบๆ ปี ตายเพราะไม่ได้รับการรักษาหรืออย่างไร ดิฉันเข้าใจดีว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฏแต่กฏที่ตั้งมาให้รักษาระยะแรกได้แต่ระยะอื่นจะปล่อยให้ตายอย่างนั้น เหรอคะ ตั้งมาได้อย่างไรกัน ดิฉันเขียนเรียกร้องในครั้งนี้เพื่อตัวดิฉันเองและเพื่อนๆ ที่เป็นโรคเดียวกันอีกหลายคน หากวันหนึ่งโรคกำเริบเป็นระยะที่ 2 หรือ ระยะที่ 3 คุณจะปล่อยให้ตายไปเลยหรือไงทั้งๆ ที่ยาที่รักษานั้นสามารถรักษาได้ผลดี มากๆ
"ดิฉันขอเรียกร้องชีวิต ขอความเมตตาให้ดิฉันได้มีชีวิตและได้รับยารักษาชีวิต เหตุผลก็เพราะว่าดิฉันได้ส่งเงินสมทบมาตั้งแต่ปีที่เริ่มทำงานปี พศ. 2548 จนถึงปัจจุบันปี พ.ศ.2560 เป็นเวลา เกือบ 12 ปี เมื่อยามเจ็บป่วยก็ควรได้รับสิทธิ์การรักษาที่ดีจากสำนักงานที่เรียกว่าแห่งชาติ" น.ส.ฐิชารัศม์ระบุ
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้ นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ชี้แจงว่า สิทธิการรักษาพยาบาลของผู้ประกันตนครอบคลุมผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวทุกระยะ ที่ให้การรักษาตามข้อบ่งชี้ที่เป็นไปตามแนวทางมาตรฐานการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวของประเทศไทย ซึ่งวางแนวทางการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ของประเทศไทยมาปรึกษาหารือและเห็นร่วมกัน โดยสปส.จะนำแนวทางมาตรฐานดังกล่าวมากำหนดเป็นกฎเกณฑ์ในการกำหนดสิทธิการรักษาให้กับผู้ประกันตน
และปัจจุบันแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ของประเทศไทยยังยืนยันใช้ข้อบ่งชี้และแนวทางการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเช่นเดิมตามที่สปส.กำหนดเป็นสิทธิให้กับผู้ประกันตน คือ หากเป็นระยะที่ 1 ผู้ป่วยมีสิทธิได้รับยาอิมาตินิบ แต่หากใช้แล้วไม่ได้ผลก็สามารถใช้ยาตัวที่สูงขึ้นอีก 2 ตัว คือ ยานิโลตินิบ และดาซ่าทินิบได้ โดยครอบคลุมอยู่ในสิทธิประกันสังคมเช่นกัน
ส่วนระยะที่ 2 และ 3 มาตรฐานการรักษาของไทยระบุว่าหากใช้ยาอิมาตินิบจะเกิดผลข้างเคียงมากกว่าผลดีที่จะเกิด ขึ้นกับคนไข้ สปส.ก็กำหนดกฎเกณฑ์ตามข้อบ่งชี้นี้ แต่หากคนไข้ในระยะที่ 2 และ 3 เห็นพ้องกับแพทย์ที่ทำการรักษาว่าต้องการใช้ยาอิมาตินิบ รพ.ต้นสังกัดก็จะต้องเป็นผู้จ่ายค่ารักษาให้กับผู้ประกัน ไม่ใช่เบิกมายังกองทุนประกันสังคม ยืนยันว่าผู้ป่วยไม่ต้องจ่ายเงินเอง อย่างไรก็ตาม กรณีแพทย์จ่ายยาให้ผู้ป่วยโดยไม่เป็นไปตามข้อบ่งชี้ หากเกิดอะไรขึ้นกับผู้ป่วย แพทย์ท่านนั้นจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
นอกจากนี้ สปส.ยังคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลผู้ประกันตนที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว กรณีต้องปลูกถ่ายไขกระดูก หากระยะของโรคเป็นไปตามหลักเกณฑ์การอนุมัติสิทธิปลูกถ่ายไขกระดูกของสปส. ซึ่งจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยาเป็นผู้พิจารณาการรักษา ผู้ประกันตนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น โดยรพ.ที่ให้การรักษาปลูกถ่ายไขกระดูกจะได้รับค่าบริการทางการแพทย์จากสปส.โดยตรง ถ้าเป็นเนื้อเยื่อของตนเองจ่ายให้ในอัตรา 750,000 บาทต่อราย แต่ถ้าเป็นเนื้อเยื่อของคนอื่นจ่ายให้ในอัตรา 1.3 ล้านบาทต่อราย
"สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทองและสิทธิสวัสดิการข้าราชการก็ใช้ข้อบ่งชี้แนวทางการรักษาที่เป็นมาตรฐานของประเทศอันนี้เช่นเดียวกับสปส. เพราะการเขียนแนวทางมาตรฐานการรักษากลางของประเทศ เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยเป็นหนูทดลองยาให้กับแพทย์ เพราะแนวทางมาตรฐานฯเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญช่วยกันพิจารณาร่วมกันแล้ว ซึ่งสปส.ก็ไม่อยากให้ผู้ประกันตนเป็นหนูทดลองยาเช่นเดียวกัน ส่วนสปส.จะเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑืให้สามารถเบิกค่ารักษากรณีการใช้ยาอิมาตินิบกับผู้ป่วยระยะ 2และ3จากกองทุนฯได้หรือไม่ ทำได้ หากข้อบ่งชี้ที่เป็นมาตรฐานของประเทศเปลี่ยนแปลง" นพ.สุรเดช กล่าว
สำหรับสิทธิการรักษาพยาบาลโรคมะเร็งอื่นๆของผู้ประกันตน นพ.สุรเดช อธิบายว่า ปัจจุบันมีมะเร็ง 10 ชนิดที่มีมาตรฐานการรักษาที่ยอมรับในประเทศไทยแล้ว โดยมีการกำหนดไว้ชัดเจนว่าหากเจอมะเร็งชนิดไหน แบบไหน จะต้องทำการรักษาอย่างไร ก่อนหลัง ซึ่งสปส.ให้สิทธิครอบคลุมในการรักษาพยาบาลตามข้อบ่งชี้ที่เป็นมาตรฐาน โดยจ่ายค่ารักษาแบบเหมาจ่ายไปให้รพ.ตามสิทธิของผู้ป่วย
ส่วนมะเร็งชนิดอื่นก็ให้สิทธิการรักษาตั้งแต่เริ่มจนสิ้นสุดการรักษาเช่นกัน แต่หากจำเป็นต้องได้รับการรักษาเพิ่มเติม รพ.ตามสิทธิสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลจากสปส.เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นแต่ไมี่เกิน 5 หมื่นบาทต่อรอยต่อปี
พวงชมพู ประเสริฐ รายงาน