
จากการสำรวจประชากรผู้สูงอายุในประเทศไทย พ.ศ.2557 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าสัดส่วนของผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียว ตามลำพังในครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยปี2537 มีผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียว ร้อยละ 3.6 และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 6.3 ร้อยละ 7.7 ร้อยละ 8.6 ในปี 2545 2550 และ 2554 ตำมลำดับ แล่ะล่าสุดปี 2557มีผู้สูงอำยุอยู่คนเดียวตามลำพังเพิ่มขึ้น เป็นร้อยละ 10.4
"แน่นอนว่าเมื่อเราถามก็จะได้คำตอบว่าไม่เป็นไรลูก แม่อยู่ได้ พ่ออยู่ได้ ไม่ต้องเป็นห่วง ซึ่งต้องเข้าใจผู้สูงอายุว่าไม่อยากพูดอะไรที่ทำให้ลูกหลานเป็นห่วง กังวลใจแต่คนที่เป็นลูกหลานควรอนุมานได้แล้วว่า อะไรคือความต้องการที่แท้จริงที่อยู่ในใจพ่อแม่ เพราะรู้ว่าอะไรที่ขาดหายไปในผู้สูงอายุ คือความมั่นใจในตัวเอง ความภูมิใจในตัวเองหากลูกหลานสามารถทำให้ท่านรู้สึกว่ารัก เคารพ คิดถึง ห่วงใย ดูแลเหมือนเดิม ให้รู้สึกว่าเราไม่ไปไหน ไม่ได้ทอดทิ้งแต่ไปเพราะความจำเป็น ยังติดต่อท่านเป็นระยะๆ"นพ.จุมภฏ พรมสีดา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ กรมสุขภาพจิตเปิดมุมมอง
นพ.จุมภฏอธิบายเพิ่มเติมว่าผู้สูงอายุเป็นวัยที่สมดุลของร่างกายเปลี่ยนแปลงไปปัญหาสุขภาพจิตในผู้สูงอายุจึงเกิดจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ1.มีโรคประจำตัว การมีโรคประจำตัวทำให้มีปัญหาสุขภาพจิตตามมาได้ เพราะบางโรคเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าอยู่แล้ว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ทั้งตัวโรคเองและยาที่กินทำให้ผู้ป่วยมีอารมณ์ซึมเศร้าได้ 2.สมรรถภาพร่างกายเปลี่ยนแปลงไป ไม่สามารถทำหน้าที่ จากที่เคยเป็นหัวหน้าครอบครัว กลายมาเป็นผู้พึ่งพิง ทำให้ความมั่นใจในตัวเองและความภูมิในในตัวเองลดลง่ก่อให้เกิดความวิตกกังวล ซึมเศร้า นอนไม่หลับได้ จากการที่คิิดว่าตัวเองถูกทอดทิ้ง ไม่มีศักดิ์ศรีเหมือนเดิม
นพ.จุมภฏ พรมสีดา
"การที่ปล่อยให้พ่อแม่หรือผู้สูงอายุให้อยู่เพียงลำพังคนเดียว จะส่งผลต่อสุขภาพจิต เพราะยิ่งเพิ่มความรู้สึกว่าตนเองโดดเดี่ยว ไม่มีที่ยึดเหนี่ยว หรือรู้สึกถูกทอดทิ้ง และการอยู่คนเดียวเมื่อเกิดภาวะวิกฤติต่างๆที่มากระทบต่อการดำเนินชีวิต เช่น การเจ็บป่วยหรือภัยพิบัติตามธรรมชาติ ยิ่งทำให้เกิดความเครียดขึ้นในผู้สูงอายุได้"นพ.จุมภฏ กล่าว
สำหรับลูกหลานที่อยู่ไกลกับพ่อแม่นพ.จุมภฏมีคำแนะนำในการดูแลสุขภาพใจของพ่อแม่ว่า วัฒนธรรมของคนไทยที่มีมาแต่โบราณเป็นเรื่องที่ดี เช่น วันผู้สูงอายุ หรือวันสงกรานต์ที่ลูกหลานได้ไปรดน้ำดำหัวพ่อแม่หรือผู้หลักผู้ใหญ่ วันแม่ได้มีโอกาสกลับบ้านไปเยี่ยมเยียนหรือไหว้แม่ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ดี เพราะแม้ลูกจะไปทำงานหรืออยู่ห่างไกลจากพ่อแม่ แต่เมื่อถึงวันสำคัญ ก็เป็นวันที่ผู้สูงอายุหรือพ่อแม่ตั้งตารอคอยลูกจะกลับมา
ดังนั้น ลูกๆที่อยู่ไกลหากหาโอกาสทำเช่นนี้ในวันพิเศษได้บ้าง ก็ยังเป็นเรื่องที่ดี แม้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่หากมีความจำเป็ฯจริงๆที่จะไปหาท่านไม่ได้ ก็ควรใช้เทคโนโลยีในการสื่อสารให้เป็นประโยชน์ เช่น สมาร์ทโฟน หรือช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆในการติดต่อหาท่านทุกวันเพื่อแสดงความห่วงใย ทำให้ท่านรู้สึกว่า ไม่ได้สูญเสียคุณค่าความเป็นตัวเอง เป็นการเชื่อมโยงสายสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอยู่เสมอ ท่านจะไม่รู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว ไม่ถูกทอดทิ้ง
อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมหรือคำพูดที่ไม่ควรใช้กับพ่อแม่หรือผู้สูงอายุ เพราะจะทำให้กระทบจิตใจนพ.จุมภฏแนะนำว่าอย่าใช้คำพูดหรือแสดงพฤติกรรมที่เป็นการทำลายศักดิ์ศรีหรือตัวตนของพ่อแม่หรือผู้สูงอายุ อย่างเช่น ไม่ควรพูดว่า "แก่แล้วอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร"จะเป็นการคำพูดที่ไม่ให้เกียรติเป็นการลดทอนคุณค่าของผู้สูงอายุ เพราะฉะนั้น ในปัญหาบางเรื่อง แม้เราจะแก้ไขได้ด้วยตัวเอง แต่ก็ควรปรึกษาท่านบ้างเพื่อให้ท่านรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า
สัญญาณที่บ่งบอกว่าพ่อแม่หรือผู้สูงอายุเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิตและควรพบแพทย์นพ.จุมภฏบอกว่าอาการทั่วๆไป คือ พฤติกรรมที่เคยทำในชีวิตประจำวันเปลี่ยนแปลงไป เช่น นอนไม่หลับ หรือจากที่เคยดูทีวี หรือทำสวนก็กลับกลายเป็นไม่ทำ เก็บตัว เงียบลง หรือจดจำบางสิ่งที่เคยทำได้ไม่ได้ หรือมีอาการหลงลืมเหล่านี้ลูกหลานควรสังเกตและควรพามาพบแพทย์ เมื่อเห็นว่าผู้สูงอายุไม่ทำกิจวัตรประจำวันเหมือนเดิม
"พ่อแม่หรือผู้สูงอายุแม้จะเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จแค่ไหน มีตำแหน่งสูงส่งเพียงใด แต่ยังต้องการอยู่ใกล้ชิดลูกหลาน และอยากให้ลูกหลานเห็นความสำคัญ มีโอกาสพบปะพูดคุยให้กำลังใจ จะทำให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวหรือความกังวลใจของท่านผ่อนคลายลงลูกหลานควรให้กำลังใจพ่อแม่ หากอยู่ด้วยกันก็ควรให้ท่านแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆบ้างเพื่อเป็นการให้เกียรติ หากอยู่ห่างไกลควรหาเวลาไปพบปะเยี่ยมเยียนท่านอย่างสม่ำเสมอ หรืออย่างน้อยใช้สื่อเทคโนโลยีทางการสื่อสารให้เกิดประโยชน์ในการติดต่อถามไถ่แสดงความห่วงใยท่านทุกวัน"นพ.จุมภฏ ฝากไว้เนื่องในวันแม่แห่งชาติ
ใส่ใจดูแลจิตใจแม่พ่อ ก่อนที่จะสายเกินไป เพราะใจที่มันร้าว ไม่นานก็อาจจะแตกได้!!!