
โดยใช้วิธีการปลูกด้วยการให้ไม้ปลายแหลมแทงลงไปบนดิน(เรียกว่าการแทงสัก)และใช้กระบอกไม้ไผ่ที่บรรจุพันธุ์ข้าวหยอดลงหลุม3-เมล็ด ซึ่งในท้องถิ่นเรียกว่า "น่ำไร่" เป็นวิธีที่ใช้กันทั่วไปในจังหวัดพังงา มีความเหมาะสมกับทุกสภาพพื้นที่ เมื่อฝนโปรยลงมาหรือเมล็ดได้รับความชื้นจากดินก็จะเจริญเติบโตเป็นต้นข้าวให้ผลผลิตต่อไป
นายวิรัตน์ สังด้วงยาง ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 9 นิคมสร้างตนเองทุ่งมะพร้าว กล่าวว่า เพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมการกินการอยู่ของชุมชนและการช่วยกันเก็บรักษาพันธุ์ข่าวไร่ดอกข่า ซึ่งเป็นสายพันธุ์ของของจังหวัดพังงาเอาไว้ โดยในพื้นที่นี้เริ่มปลูกเมื่อปี2558
สำหรับปีนี้ได้ปลูกรวม3แปลง เนื้อที่ประมาณ30ไร่ ผลดีที่เกิดขึ้นคือ การได้รวมกลุ่มของชาวบ้านซึ่งมีทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิมมาร่วมปลูกข้าวด้วยกัน และการสืบทอดวัฒนธรรมการปลูกข้าวของเราเอาไว้ต่อไป ซึ่งในการลงแขกในครั้งนี้ ใช้พันธุ์ข้าวเปลือกประมาณ3ถังและทุกคนต่างนำข้าวห่อมากินมื้อเที่ยงด้วยกัน เป็นบรรยากาศความอบอุ่นแบบท้องทุ่งอย่างแท้จริง
สำหรับ ข้าวไร่ "ดอกข่า" เป็นพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นบ้าน ของ จ.พังงา ที่มีกลิ่นหอมปานกลางคล้ายกลิ่นใบเตย มีกรดไขมันโอเมก้า 9 วิตามินอี ชนิดอัลฟาโทโคฟีรอลและแกมม่าโทโคฟีรอล มีรสชาติอร่อย ข้าวไม่แข็ง หุงขึ้นหม้อ โดยเริ่มปลูกในพื้นที่ ต.บางทอง อ.ท้ายเหมือง ซึ่งเป็นการปลูกแซมในแปลงปลูกยางพารา หรือแปลงปลูกปาล์มน้ำมัน ที่ปลูกใหม่และสามารถปลูกต่อเนื่องได้ 3 ปี
และต่อมาได้ขยายปลูกในพื้นที่ต่าง ๆ ในจังหวัดพังงา โดยเกษตรกรสามารถนำผลผลิตจำหน่ายได้ถึงกิโลกรัมละ 60-80 บาท ซึ่งล่าสุดศูนย์วิจัยข้าวกระบี่ ได้รวบรวมพันธุ์ข้าวไร่ดอกข่า มาทำการปลูกศึกษาวิจัยและพัฒนาพันธุ์มาตั้งแต่ปี2550จนได้พันธุ์บริสุทธิ์ และได้จัดแสดงในงาน "วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ" ที่กรมการข้าว กรุงเทพฯ เมื่อเดือนมิถุนายน 2560ที่ผ่านมา