
ซึ่งขบวนแห่ช้างดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของงานสืบสานวัฒนธรรม เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวที และรำลึกถึงคุณงามความดีของบรรพบุรุษ ที่ชาวบ้านปูตะแห่งนี้ได้ร่วมมือกันจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ซึ่งในปีนี้ได้จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 5 - 7 พฤษภาคมนี้ มีการแสดงทางศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ เช่น ดนตรีพื้นบ้านมาลายู การรำสิละ ศิลปะการต่อสู้ที่ใช้ทั้งมือเปล่าและอาวุธ โนราควน ซึ่งเป็นมโนราห์พื้นบ้านของชาวไทยพุทธที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัจจุบันสิ่งเหล่านี้หาดูได้ยากยิ่ง หากไม่มีการร่วมกันอนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่ต่อไป
เช่นเดียวกับการแห่ช้าง ในสมัยโบราณช้างมีความผูกพันกับผู้คนในคาบสมุทรมาลายูมาก โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ อดีตช้างเป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งอำนาจที่ ราชา หรือ รายา เจ้าผู้ปกครองหัวเมืองต่างๆต้องมีช้างไว้ใช้ทั้งเป็นพาหนะและยามทำศึกสงคราม ปัจจุบันสถานะของช้างได้เปลี่ยนไป กลายมาเป็นช้างบ้าน หรือ ช้างงาน ผู้ที่นิยมเลี้ยงช้างส่วนใหญ่จะเป็นชาวไทยมุสลิม มักเลี้ยงไว้เพื่อรับจ้างชักลากไม้ยางพาราบนภูเขาสูงที่รถยนต์ไม่สามารถเข้าไปถึงได้ ซึ่งช้างเหล่านี้จะถูกเลี้ยงและดูแลรักษาอย่างดี ซึ่งแม้จะมีหน้าที่ชักลากไม้เป็นอาชีพหลักหลัก แต่มีไม่น้อยในแต่ละปีที่ถูกจ้างให้ออกมาจากป่าเขา เข้าสู่ขบวนแห่โชว์ตัวตามงานต่างๆเป็นอาชีพเสริม ซึ่งเราจะเห็นช้างแต่ละตัวมีความสมบรูณ์เต็มที่ นั่นเป็นเพราะความใส่ใจของเจ้าของ
นอกจากควาญช้าง หรือเจ้าของช้างที่มีความผูกพันและใกล้ชิดกับช้างแล้ว ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้ที่เป็น หมอช้าง หรือ โต๊ะกูแซ ก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เนื่องจากหมอช้างจะมีความรอบรู้ในเรื่องการดูลักษณะนิสัยของช้าง ตลอดจนการทำขวัญช้างหรือกำราบช้างเพื่อให้คลายความดุร้ายลง ซึ่งสิ่งเหล่านี้บางครั้งจึงมีการผสมผสานทางคติความเชื่อขึ้น เพราะเป็นที่ทราบกันดีเดิมทีก่อนที่ศาสนาพุทธและอิสลามจะเข้ามาในคาบสมุทรมาลายู ศาสนาพราหมณ์เคยเจริญรุุ่งเรืองมาก่อน จึงเป็นเรื่องปกติที่บางครั้งจะเห็นภาพของชาวบ้านที่เป็นมุสลิมและพระภิกษุมีกิจกรรมร่วมกันบางอย่างหลงเหลือให้เห็น
สิ่งเหล่านี้ยังคงเป็นความจริงที่ปรากฎอยู่ แม้จะมีให้เห็นไม่บ่อยนัก ซึ่งคนในยุคปัจจุบันจะต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจให้ถ่องแท้และสร้างจุดร่วม สงวนจุดต่าง เพื่อที่จะอยู่ร่วมกันในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมบนปลายด้ามขวานแห่งนี้สืบต่อไป