
ส่วนเนื้อเรื่องที่แสดงดำเนินตามบทพระราชนิพนธ์ เรื่องรามเกียรติ์ ในรัชกาลที่ ๑, ๒, ๔ และ๖ เป็นเรื่องราวการทำสงครามระหว่างฝ่ายธรรมะ คือ ฝ่ายพระราม (พระนารายณ์อวตาร) กษัตริย์กรุงอโยธยา ซึ่งมีข้าทหารเป็นเหล่าวานร กับฝ่ายอธรรม คือฝ่ายทศกัณฐ์ พญายักษ์เจ้าเมืองลงกา ที่มีเหล่าอสูรเป็นบริวาร ตัวแสดงมีทั้งฝ่ายตัวพระ นาง ยักษ์ ลิง แต่เดิม ผู้แสดงทั้ง ๔ ประเภทนั้นต้องสวมหัวโขนปิดหน้า มีผู้พูดแทนเรียกว่าผู้พากย์-เจรจา
ภายหลังต่อมา จวบจนปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนให้ผู้แสดงตัวพระ นาง มาสวมเครื่องประดับศีรษะ หรือศิราภรณ์ คือ ชฎา มงกุฎ รัดเกล้า และกะบังหน้า แต่ยังคงใช้ผู้พากย์ เจรจา เว้นแต่ตัวตลกและฤษี ซึ่งจะเจรจาเอง การแสดงโขนมีวิวัฒนาการมาโดยลำดับจากอดีตถึงปัจจุบัน สามารถแบ่งได้เป็น ๕ ประเภท คือ โขนกลางแปลง โขนนั่งราวหรือโขนโรงนอก โขนหน้าจอ โขนโรงใน และโขนฉาก
ดังที่กล่าวแล้วว่า โขน เป็นราชูปโภคส่วนพระองค์แห่งองค์พระมหากษัตริย์อย่างหนึ่ง จนปรากฏว่าในสมัยโบราณเป็นการเล่นต้องห้าม มิให้ประชาชนมีไว้แสดงในงานทั่ว ๆ ไป นอกจากโขนในราชสำนักเท่านั้น ครั้นต่อมาจึงทรงอนุญาตให้เจ้านายและข้าราชการผู้ใหญ่มีการฝึกหัดโขนได้เมื่อมีโขนเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย โขนจึงเป็นมหรสพชนิดหนึ่งที่แสดงในงานพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก งานมหกรรมบูชา งานสมโภช งานฉลองปูชนียสถาน และงานศพผู้มีบรรดาศักดิ์ รวมทั้งการแสดงในงานเทศกาลนักขัตฤกษ์ทั่วไป เช่น งานฉลองวัด งานตรุษสงกรานต์ งานวันขึ้นปีใหม่ ฯลฯ
ศิลปะการแสดงโขน จัดเป็นมหรสพหลวง ที่แสดงในพระราชพิธีสำคัญๆ มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ถือเป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศอย่างหนึ่งของพระมหากษัตริย์ จนถึงรัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ครั้นถึงรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่โปรดการมหรสพต่างๆ ทรงเห็นว่าเป็นการละเล่นที่ไร้สาระ ไม่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง และผิดหลักธรรมของพระพุทธศาสนา เป็นการบำรุงบำเรอตนเองเกินกว่าเหตุ โขนหลวงจึงซบเซาลง ครั้นถึงรัชกาลที่ ๕ เจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ (ม.ร.ว. หลาน กุญชร) ได้เข้าบัญชาการกรมมหรสพ จึงได้ฟื้นฟูโขนหลวงขึ้นใหม่ โดยให้ครูละครในผู้หญิงที่ยังเหลืออยู่มาเป็นผู้ฝึกหัดโขน ทำให้อิทธิพลของละครในเข้ามามีบทบาทในการแสดงโขน มีการรำใช้บทตามบทร้อง รำเพลงช้าเพลงเร็ว และมีบทระบำเช่นเดียวกับละครใน
ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ศิลปะการแสดงโขนได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาก ทั้งนี้เพราะพระมหากษัตริย์ทรงให้การอุปถัมภ์อย่างดีที่สุด กล่าวได้ว่าพระองค์ทรงเป็นราชาแห่งศิลปิน และเปรียบเสมือนเทพเจ้าแห่งศิลปะ ทรงอุปถัมภ์ศิลปะทางโขน โดยการปลูกฝังความนิยมให้เกิดขึ้นเป็น ๓ระยะ กล่าวคือ ระยะแรกเมื่อครั้งเสด็จดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ได้โปรดคัดเลือกลูกเจ้านายข้าราชการและพวกมหาดเล็กในพระองค์ให้หัดโขนสมัครเล่นขึ้นก่อน ระยะที่ ๒เมื่อเสด็จเสวยราชย์แล้ว ได้โปรดให้ตั้งกรมหรสพขึ้น ทรงอุปถัมภ์ศิลปินโขนผู้มีฝีมือให้มียศบรรดาศักดิ์ และให้มีตำแหน่งหน้าที่ในราชการตามสมควรแก่คุณวุฒิ เรียกว่า โขนบรรดาศักดิ์ ซึ่งคู่กับโขนเอกชนเรียกว่า โขนเชลยศักดิ์ ระยะที่ ๓ โปรดให้ตั้งโรงเรียนขึ้นในกรมมหรสพฝึกหัดกุลบุตร กุลธิดารุ่นต่อมา ให้มีความรู้ทั้งวิชาสามัญ และวิชาศิลปะควบคู่กันไป และทรงทำนุบำรุงให้ได้รับความสะดวกสบายในการศึกษาเล่าเรียน ซึ่งครั้งแรกเรียกว่า "โรงเรียนกระบี่หลวง" ต่อมาเปลี่ยนเป็น "โรงเรียนพรานหลวง"
การแสดงโขนในรัชสมัยนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดทั้งกระบวนท่ารำที่เป็นแบบแผน และเป็นแหล่งรวมศิลปะด้านวิจิตรศิลป์หลายแขนงครบถ้วน ด้วยองค์ประกอบแห่งความงามของการแสดงออกทางศิลปะ กล่าวคือ (๑) ชื่อตัวละครมีลักษณะเฉพาะ (๒) บทที่ใช้แสดงมีทั้งบทขับร้องแบบละครใน และบทพากย์เจรจาแบบโขน (๓) เครื่องแต่งกายมีวิวัฒนาการแต่งกายยืนเครื่องจากแบบดั้งเดิมมาเป็นเครื่อง แต่งกายแบบพระราชประดิษฐ์ เพื่อให้เห็นภาพลักษณ์แท้จริงของตัวละครได้ชัดเจนเหมือนกับความเป็นจริงในชีวิตประจำวันมากขึ้น โดยนำแนวคิดและทฤษฎีจากคติอารยะธรรมตะวันตกมาปรับปรุงใช้ในวัฒนธรรมไทย (๔) เนื้อเรื่องปรับปรุงใหม่ให้ทันสมัย โดยดำเนินเรื่องให้รวดเร็ว (๕) ทรงพระราชนิพนธ์บทร้อง บทพากย์ และบทเจรจาใหม่ ซึ่งค้นคว้าที่มาของเรื่องรามเกียรติ์จากคัมภีร์รามายณะของวาลมีกิ โดยสอดแทรกพระราชดำริส่วนพระองค์ พระราโชบายในด้านการเมือง เศรษฐกิจ ศาสนา สังคม ความเชื่อ พิธีกรรม ประเพณี และวัฒนธรรมไว้เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตในพุทธศักราช ๒๔๖๘ ศิลปะโขนละครก็เข้าสู่ภาวะตกต่ำ ในปีนั้นเองที่ประชุมเสนาบดีมีมติให้ยุบกรมมหรสพ
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์มีพระราชดำริที่จะธำรงรักษาศิลปะการมหรสพแขนงต่างๆ จึงโปรดฯ ให้กรมมหรสพในรัชกาลที่ ๖ กลับมามีฐานะเป็นกองมหรสพสังกัดกระทรวงวังเมื่อพุทธศักราช ๒๔๖๙ พระยานัฏกานุรักษ์ (ทองดี สุวรรณภารต) ครูโขนละครคนสำคัญซึ่งถูกให้ออกจากราชการ ก็ได้กลับเข้ารับราชการเป็นผู้กำกับ ปี่พาทย์และโขนหลวงในสังกัดกระทรวงวัง
และในปีพุทธศักราช ๒๔๗๘ มีการปรับปรุงระบบบริหารราชการกระทรวงวังครั้งใหญ่ ให้โอนงานช่างกองวังนอกและกองมหรสพไปอยู่ในสังกัดกรมศิลปากร ข้าราชการ ที่เป็นศิลปินทั้งโขน ละคร ดนตรีปี่พาทย์ และการช่างจึงย้ายมาอยู่ในสังกัดกรมศิลปากรตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๗๘ โขนของกรมมหรสพ กระทรวงวัง จึงเป็น "โขนกรมศิลปากร" มาแต่ครั้งนั้น จึงเห็นได้ว่าปัจจัยสำคัญยิ่งที่ทำให้นาฏกรรมชั้นสูงแขนงนี้รุ่งเรือง ยั่งยืนเป็นมรดกชิ้นเอกของชาติสืบมาถึงทุกวันนี้ คือ พระบารมีและพระมหากรุณาธิคุณขององค์พระมหากษัตริย์ที่ได้ทรงอุปถัมภ์ตลอดมา