
การพัฒนาทางเศรษฐกิจ ที่รุกคืบทำให้สภาพแวดล้อมถูกเปลี่ยนไป อย่างพื้นที่นาเกลือที่นี่ กำลังจะถูกกลืนหายด้วยโครงการพัฒนา เพื่อรองรับการท่องเที่ยว ทางออกเพื่อให้ " วีถีชีวิต" และการพัฒนาสามารถเดินควบคู่ จะเป็นได้มากน้อยแค่ไหน
เมื่อที่นี่ถูกปักหมุดให้เปลี่ยนจาก "นาเกลือ" สู่โครงการโซลาร์ฟาร์ม เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 3 เมกกะวัตต์ นั่นหมายความว่า การเข้ามาของโครงการโซล่าฟาร์ม ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ชุ่มน้ำโคกขาม
ผืนนาเกลือสีขาวโพลน วันนี้ ถูกไถปรับจนไม่เหลือภาพที่คุ้นเคย กำแพงรั้วสูงเกือบหนึ่งเมตร ถูกนำมาล้อมไว้ ขณะที่รถแบคโฮ ที่เคยทำหน้าที่ของมัน วันนี้ยังคงจอดสงบนิ่ง ไม่ทำงานมาเกือบสองสัปดาห์แล้ว หลังมีชาวบ้านบางส่วน ได้ร่วมกับสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย ออกมาเรียกร้องให้หน่วยงานที่รับผิดชอบทบทวนพื้นที่ตั้งของโครงการอีกครั้ง
นกชายเลนปากช้อน (Spoon-billed Sandpiper) หนึ่งในชนิดนกหายากระดับโลก มาอาศัยหากินบริเวณนาเกลือโคกขามในฤดูอพยพ
เหตุผลเดียวที่ชาวบ้านพยายามสื่อสารไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ คือการเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำอ่าวไทย ที่มีความสำคัญต่อนกชายเลนอพยพเพียงแห่งเดียวที่เหลืออยู่
สุชาติ แดงพยนต์ ชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติโคกขาม สมุทรสาคร บอกว่า ถ้าให้ดูตรงนี้เหลือนาเกลือไม่ถึง 400ไร่ วิถีที่เปลี่ยนไปไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ของคนที่นี่ รูปแบบการพัฒนาที่ดินที่หลากหลาย ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่นที่ดินแปลงนี้ยังคงทิ้งร่องรอยการตักหน้าดินไปขายจนกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่
"เราพบว่าเจ้าของที่ดินบางส่วน ได้นำป้ายประกาศขายที่นาเกลือ และนากุ้งมาติดไว้ ถัดไปไม่ไกลนัก ในพื้นที่ตำบลพันท้ายนรสิงห์ เรายังพบผู้รับเหมาเร่งปรับพื้นที่ทำเป็นสวนสนุกแห่งใหม่ โดยมีจุดขายเป็นไดโนเสาร์ นี่คือความกังวลที่ตัวแทนจากอนุรักษ์ธรรมชาติ โคกขาม พยายามอธิบายกับเราว่าเห็นการเปลี่ยนแปลงในช่วงหลายปี"
ศักดิ์ชัย เนตรล้อมวงศ์ ประธานชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติ โคกขาม สมุทรสาคร บอกว่า ป่าชายเลนมีมากในแถบนี้ เป็นแนวกันชนบกกับทะเล แต่หลังจากรัฐมีการส่งเสริมเพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำ ทำให้ป่าชายเลนถูกทำลายจนหมด และขุดบ่อเลี้ยงกุ้ง และรัฐส่งเสริมให้เลี้ยงแบบพัฒนา และเมื่อไม่สำเร็จเพราะพื้นที่เหมาะกับการเพาะเลี้ยงแบบพัฒนา ทำให้บ่อกุ่งถูกทิ้งร้างผมอยากให้คงสภาพตรงนี้ไว้ตรงนี้เป็นทีพระราชทานจากรัชกาลที่ 8 ให้จัดสรรที่ดินเพื่อทำการครองชีพของเกษตรกร และห้ามขุดคูคลองต่างๆ แต่ว่าตอนหลังๆ การทำมาหากินเริ่มมีปัญหาและค่าใช้จ่ายสูง รายได้ไม่พอกับรายจ่าย มีการปรับพื้นที่ไปเรื่อยๆ ส่วนนาเกลือก็ขึ้นกับราคาตลาด แพงมากถูกบ้าง
ประธานชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติ โคกขาม ศักดิ์ชัย เนตรล้อมวงศ์ บอกกับเราว่าแม้จะเห็นการรุกคืบของโครงการต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามายังพื้นที่นาเกลือตลอดหลายปี แต่กรณีโครงการโซลาฟาร์ม กลับสร้างความกังวลใจให้พวกเค้ามากที่สุด
ภาพของรถบรรทุกดินที่วิ่งเข้าออกในพื้นที่โครงการ ตอกย้ำว่าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า บริเวณนี้จะมีแผงโซลาร์เซลล์หลายพันแผ่น มาติดตั้งห่างจากรั้วบ้านของพวกเค้าไม่ถึง 300 เมตร และมันจะอยู่ไปอีกนานถึง 25 ปี ตลอดระยะเวลาของโครงการ
ศักดิ์ชัย เนตรล้อมวงศ์ ประธานชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติ โคกขาม สมุทรสาคร บอกว่า เห็นหลายแห่งที่เคยมีโครงการพลังงาน และชาวบ้านก็กลัวจะมีปัญหาเพิ่มขึ้น แต่ลูกหลานมีผลต่อสายตา ความร้อน หรือรับแสงสะท้อน อะไรจะเพิ่ม ค่าไฟอาจจะเพิ่มขึ้น เพราะอยู่ๆมาบอกว่าเป็นพื่นที่นิคมสหกรณ์ สมาชิกสหรกรณที่เป็นเจ้าของโครงการมีแค่ 200 คนที่อาจจะได้ค่าชดชยจากปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น แต่ชาวบ้านที่มีมากเป็นพันหมื่นคน จะได้รับผลกระทบ และทางโซลาร์ฟาร์มอาจไม่รับผิดชอบ อยากให้ย้ายพื้นที่ไม่เหมะสม และใกล้ชุมชนรัศมีความร้อนกระจายไกลขนาดไหน ห่างจากบ้านชุมชนอื่นๆแค่ 300 เมตรเอง
ความกังวลในมุมของชาวบ้านโคกขาม คือสิ่งที่สมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย ร่วมกับมูลนิธิสืบนาคะเสถียร มูลนิธิโลกสีเขียว ต้องทำหนังสือไปยังสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ในฐานะหน่วยงานเจ้าภาพหลักที่ดูแลพื้นที่ชุ่มน้ำ
อีกทั้งยังเป็นหน่วยงานที่ไปลงนามรับรองข้อตกลงพื้นที่พันธมิตรสำหรับการอนุรักษ์นกอพยพ และการใช้ประโยชน์ถิ่นที่อยู่อาศัยของนกอพยพอย่างยั่งยืน ในเส้นทางบินเอเชียตะวันออก-ออสเตรเลีย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ปี 2553 นี่คือเหตุผลที่ทำให้ชาวบ้านต้องเดินทางไปที่ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อขอให้เป็นตัวกลางในการรักษาพื้นที่สำคัญแห่งนี้เอาไว้
นายสัตวแพทย์ ดร.บริพัตร ศิริอรุณรัตน์ นายกสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ไซต์ก่อสร้างโชคร้ายที่มีนกหายากระดับโลกลงมาหากินทุกปี มันใกล้มากแค่ระดับ 400 เมตร สมาคมไม่ได้คัดค้านพลังงานแสงอาทิตย์ เราดีใจที่กระทรวงพลังงาน มีกระบวนที่ทำให้สกหรณ์นิคมมีการผลิตไฟฟ้าขายในพื้นที่ตัวเอง แต่จะทำอย่างไรที่ทำให้กรอบคู่มือที่วางไว่ข้อกำหนดโครงการไฟฟ้าขนาดเล๋ก จะไม่กระทบต่อสุขภาพ ประชาชน และสิ่งแวดล้อม และ ตรงนี้จะเป็นเคสสำคัญ ถ้าเราปล่อยให้สร้างทั้งที่รุ้อยู่แล้ว อาจจะมีผลต่อนกอพยพสัตว์ป่าหายาก อนาคตถ้ามีแบบนี้จะทำให้เป็นบันทัดฐาน
"โครงการโซลาร์ฟาร์ม เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 3 เมกกะวัตต์ มีบริษัทซันซีป เอ็นเนอร์ยี (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นเจ้าของโครงการ โดยได้โควต้าจากสหกรณ์กรุงเทพ หนึ่งในโครงการตามข้อกำหนดของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ที่เปิดให้สหกรณ์ภาคการเกษตรทั่วประเทศ ที่ถือสิทธิ์ในที่ดินกรรมสิทธิ์ของสมาชิกสหกรณ์ สามารถทำโครงการพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินได้ และมีเป้าหมายผลิตถึง 800 เมกกะวัตต์ "
ท่ามกลางคำถามถึงความเร่งรีบเดินหน้าโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคมนี้ ทั้งที่ยังไม่ได้รับอนุมัติให้ก่อสร้าง ตามที่ กกพ.กำหนด
นายนิยม ทองเหมือน ผู้ประสานงานโครงการพื้นที่โคกขาม สมุทรสาคร บอกว่า เราได้ข้อมูลว่ากกพ .ที่เสนอาว่าตอนนี้มีโซลาฟาร์มที่เป็นโควต้าให้ สหกรณ์จำนวน 300 เมก และตอนนี้ทำ 67 โครงจำนวน 280 กว่า แต่กรณีของโคกขาม เขาบอกว่าขอติต้องเสร็จภายในเดือนสิงหาคม และขายให้การไฟฟ้าส่วนภมิภาคภายในสิ้นเดือนธ.ค. 59 และเป็นพื้นที่โคกขามจับได้ 3 เมกกะวัติ รัฐบาลสนับสนุนหน่วยล 5.66 สตางค์ต่อ 1 วัตต์ แต่ที่ผมอยากถามคือ ทำไมโซลาฟาร์ม ไม่ต้องทำไออีอี สำรวจผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม เป็นการลักไก่ หรือเลี่ยงหรือเปล่า หรือไมได้กำหนดว่าพื้นที่ตรงนี้ไมได้เหมาะสมสำหรับการตั้งหรือไม่ และสองหากตั้งได้ที่นี่ แล้วจะต่อไปจะเกิดกี่แห่ง
แต่ตัวแทนของบริษัท ตอบคำถามนี้กับเรา โดยมั่นใจว่าจะได้รับอนุมัติให้เดินหน้าโครงการนี้ เนื่องจากได้ทำตามกระบวนการตามกฎหมายครบถ้วน แม้ว่าจะยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา หลังจากวันที่ 30 ตุลาคม 2558 บริษัทได้คัดเลือกจากสหกรณ์กรุงเทพ เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ ขนาด 3 เมกกะวัตต์ บนพื้นที่ 42 ไร่ ของนายไวย รอดทะยอย หนึ่งในสมาชิกสหกรณ์ โดยเฉพาะการรับเปิดรับฟังความเห็นของชาวบ้านในรัศมี 1 กิโลเมตร ใน 9 หมู่บ้าน
พบว่าไม่มีการคัดค้าน รวมทั้งยังได้เพิ่มการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น หรือไออีอี เพื่อติดตามผลกระทบนกอพยพตามที่ชาวบ้านกังวล และการทำคู่มือหลักเกณฑ์การปฎบัติตามที่ กกพ.กำหนด โดยบริษัทยืนยันว่า ยังเดินหน้าโครงการต่อ
วีรวิทย์ วีรวรวิทย์ ที่ปรึกษาซันซีป เอ็นเนอร์ยี (ไทยแลนด์) จำกัด บอกว่า ตามแผนการก่อสร้างภายใน 3 เดือนนับจากนี้ บนพื้นที่ 42 ไร่ จะมีแผงโซลาร์เซลล์จากประเทศแคนนาดา เกือบหนึ่งหมื่นแผ่นมาวางเต็มพื้นที่ ส่วนระบบการผลิต และระบบไฟฟ้าจะใช้เทคโนโลยีจากประเทศจีน ซึ่งตัวแทนจากบริษัทซับซีป มั่นใจว่าโซลาร์ฟาร์ม ไม่มีผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมต่อคน และสัตว์
ขณะเดียวกันมองว่าโครงการจะช่วยเหลือชาวนาเกลือที่ประสบปัญหาขาดทุน เพราะนอกจากจะได้เงินค่าเช่าที่ดินแล้ว ยังมีส่วนแบ่งผลประโยชน์จากการขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอีกด้วย ซึ่งตามเป้าหมายจะต้องขายไฟเข้าระบบ ภายในวันที่ 30 ธันวาคมนี้
อนาคตของโซลาร์ฟาร์ม บนพื้นที่ชุ่มน้ำ ยังไม่มีใครบอกได้ว่าจะจบลงอย่างไร หากแต่มีเพียงเส้นบางๆ ที่แบ่งระหว่างการอนุรักษ์กับการพัฒนา แหล่งหากินของนกอพยพ จะได้รับผลกระทบหรือไม่ ชาวบ้าน และนักอนุรักษ์นก ยังรอคอยคำตอบ
ลุงไวย เจ้าของที่ดิน ยอมรับว่าไม่เสียดายหากต้องสูญเสียอาชีพทำนาเกลือของบรรพบุรุษ เพื่อแลกกับหนี้สินและปากท้องที่ต้องแบกรับในตอนนี้
"เสียดายแต่ทำอะไรไม่ด้ ถ้าเสียดายแต่ไม่มีจะกิน ถ้ามีโอกาสจะต้องปลดหนี้ และที่ดินเรายังอยู่ลูกหลาน จะถึงอีก 1 0ปีหรือป่าวอาชีพทำนาเกลือ อยากทำคิดจะขายที่กันหมดแล้ว และชาวบ้านส่วนใหญ่ ไม่ได้ประโยชน์จากนกเลย มีแต่ได้รับความเสียหายจากนกที่ลงมากินกุ้งปลา และนาเกลือ "
ในช่วงเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ บรรดานกอพยพกว่า 60 ชนิดจะหนีหนาวมาอาศัยที่โคกขามแห่งนี้ การเปลี่ยนบ้านแห่งที่สอง เพื่อทำโซลาฟาร์มจะส่งผลกระทบหรือไม่ยังต้องติดตามกันต่อไป