
วรฐ อัศวลาภสกุล หัวหน้างานปกครองและศิษย์เก่าวิทยาลัยเทคนิคดุสิต กล่าวว่า มาตรการใดมาตรการหนึ่งไม่ใช่สูตรสำเร็จ ต้องทำทุกๆ มาตรการ โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่า มาตรการนี้เป็นการส่งเสริมให้ผู้ปกครองใกล้ชิดกับบุตรหลานมากยิ่งขึ้น การดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิดเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้บุตรหลานมีภูมิต้านทาน ภูมิคุ้มกันในการที่จะตัดสินใจแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ หรือมีภูมิต้านทานที่จะไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในจุดที่เสี่ยง หรือไม่เอาตัวเองไปอยู่ในสังคมที่จะนำพาไปอยู่ในที่เสี่ยงได้
กลุ่มนักเรียน นักศึกษาที่มีเหตุทะเลาะวิวาท มองว่า มาจากเรื่องสภาพสังคม ที่มีการสร้างระบบแพ้คัดออก หลายคนอยู่ในครอบครัวที่แตกแยก ทำให้ไม่ได้รับความอบอุ่น และมักจะเป็นกลุ่มที่เรียนในระดับมัธยมแล้วไม่ประสบความสำเร็จ เรียนไม่เก่ง ถูกผลักดันให้ไปเรียนสายอาชีวะ
แต่ละคนล้วนแล้วแต่มีแผลในใจติดตัว เมื่อมาอยู่รวมกันก็พยายามที่จะหาวิธีการสร้างกติกาของกลุ่ม สร้างวิธีการยอมรับของกลุ่ม อย่างเช่น การสร้างความรุนแรง แต่มิได้หมายความว่า จะเป็นเช่นนี้ทุกกลุ่มหากมีใครสอนพวกเขาตั้งแต่ต้นว่า วิธีการแก้ปัญหาคืออะไร
การให้ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมนั้น ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่จะต้องทำ เพื่อช่วยกันแก้ปัญหา จริงๆ แล้วเด็กอาชีวะเป็นเด็กที่มีศักยภาพสูงมาก หากได้รับการส่งเสริมและผลักดันอย่างจริงจัง ต้องส่งเสริมให้เขารู้คุณค่าในตัวเอง ด้วยการส่งเสริมให้เขาทำงานหารายได้พิเศษระหว่างเรียน หากเด็กทุกคนรู้ว่า ตัวเองมีอนาคต สามารถทำงานได้ ประกอบอาชีพได้ เมื่อเขามองเห็นอนาคตเขาก็จะไม่ทำลายอนาคตของตัวเอง
ชาญเวช บุญประเดิม รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวว่า มาตรการที่ออกมานั้น คิดว่าเป็นคำสั่งที่เหมาะสมในช่วงเวลานี้ โดยเฉพาะสิ่งที่เราต้องการมากที่สุดคือ ความร่วมมือ ทั้งจากผู้ปกครองและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
การที่เด็กมีปัญหาทะเลาะวิวาทกัน มาจาก 5 ส่วนคือ 1.ตัวนักเรียน นักศึกษาเอง ที่มีความห้าว ความคึกคะนอง 2.เป็นเรื่องเดิมของสถาบัน ที่เคยมีเรื่องกันมาก่อน 3.ความขัดแย้งกันเองในชุมชน คือ อยู่ในชุมชนเดียวกัน แต่เรียนคนละสถาบัน หรือมีความขัดแย้งส่วนตัว 4.รุ่นพี่ 5.บุคคลภายนอกที่มีพฤติกรรมแอบแฝง เช่น จัดหาอาวุธให้ หรือมียาเสพติด
สรุปได้ว่า รัฐบาลได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้วในการที่จะบริหารเด็กกลุ่มนี้ ด้วยการให้พ่อแม่ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมด้วย เชื่อว่า จะเป็นมาตรการที่ได้ผลอย่างแน่นอน