จีระพันธ์ จุลพันธ์ เจ้าของธุรกิจค้าขายเพชร-ทองคำ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2556 คู่กรณีแจ้งความต่อตำรวจกองปราบปราม ว่า ดิฉันยืมเพชรเขาไปมูลค่า 11 ล้านบาท แล้วไม่นำส่งคืน พร้อมอ้างว่า ดิฉันนำไปจำนำกับโรงจำนำแห่งหนึ่งย่านบางแค กทม. วันเดียวกัน ก็มีการอายัดเพชร ทอง ทันที โดยที่ไม่มีการสอบสวน
ในหนังสืออายัดที่ส่งไปโรงจำนำดังกล่าว ระบุว่า ขอให้ผู้เสียหายไถ่ถอนทรัพย์สินคืน ตรงนี้ก็คือ ขออายัดเพชรทองจำนวนดังกล่าว และให้คู่กรณีไถ่ถอนเพชรทองที่เป็นชื่อของดิฉันได้ ทั้งๆ ที่เป็นของดิฉัน
ดิฉันมีใบเสร็จซื้อขายจากบริษัทที่ซื้อมาอย่างถูกต้อง ระบุวันที่ 30 ธันวาคม คศ.2012 หรือ พ.ศ.2555 โดยจ่ายเป็นเช็ค ราคา 6.42 แสนบาท
ดิฉันซื้อเพชรจากบริษัทดังกล่าวเป็นประจำมานานหลายปีแล้ว เพชรที่ซื้อมาก็นำไปจำนำเพื่อหมุนเวียนธุรกิจ
ดิฉันขอยืนยันว่า เพชรดังกล่าวเป็นของดิฉัน เพราะได้ซื้อมาอย่างถูกต้องจากบริษัทดังกล่าว
จากกรณีที่คู่กรณีให้การต่อตำรวจว่า ไม่ใช่ของ 2 บริษัทที่ซื้อมา และไม่ใช่ของดิฉันนั้น ต้องถามว่า คู่กรณีรู้ได้อย่างไร
หากบริษัทที่ซื้อขายเพชรกับดิฉันให้การต่อตำรวจว่า ไม่ได้มีการขายเพชรให้ดิฉัน ดิฉันก็ขอถามว่า เงินของดิฉันไปอยู่ในบัญชีคุณได้อย่างไร หลักฐาน เอกสาร ใบเสร็จ ดิฉันมีพร้อมที่จะนำมายืนยัน เอกสารโกหกไม่ได้ เช็คที่จ่ายก็เป็นเช็คบัญชีกระแสรายวัน ใบรับสินค้าดิฉันก็มี ตรวจสอบเส้นทางการเงินได้ ตรวจสอบไม่ยากเลยอยู่ที่ว่าจะตรวจสอบหรือไม่
ดิฉันมีเอกสารที่เป็นของคู่กรณีที่อ้างว่า เป็นบิลที่ดิฉันขอยืมเพชรมานั้น ระบุว่า ยืมให้ลูกค้าดูก่อน มูลค่า 7 แสนบาท ดิฉันขอยืนยันว่า บิลนี้เป็นของปลอม ลายเซ็นก็ไม่มี เขียนเองทุกอย่าง เป็นเอกสารที่ทำขึ้นเองแต่เพียงฝ่ายเดียว ดิฉันไม่เคยเห็น ไม่เคยรับทราบ ลายเซ็นรับของของดิฉันก็ไม่มี ขณะที่ทางศาลก็บอกว่า เป็นเอกสารที่ทำขึ้นเพียงฝ่ายเดียว
กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจอายัดเพชรที่จำนำไว้ พร้อมกับให้คู่กรณีไถ่ถอนได้นั้น ดิฉันเห็นว่า กรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอายัด หรือไถ่ถอนทรัพย์ที่อยู่ในชื่อของดิฉันนั้น โดยไม่สอบสวน เป็นการผิดกฎหมายดิฉันซื้อเสร็จรับของก็จำนำทันที คือวันที่ 30 ตุลาคม 2555 ซึ่งการจำนำก็เพื่อนำเงินมาหมุนเวียนในธุรกิจ
สำหรับบิลของคู่กรณีที่ระบุว่า ดิฉันไปยืมเพชร น้ำหนัก 4 กะรัต เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2555 ซึ่งจะเห็นได้ว่า เพชรดังกล่าว ดิฉันเอาไปจำนำตั้งแต่เดือนตุลาคม จึงเป็นไปไม่ได้ เพราะเพชรอยู่ในความครอบครองของโรงจำนำก่อนหน้าแล้ว และที่สำคัญเพชรที่นำไปจำนำ น้ำหนัก 2 กะรัต
ในวันที่คู่กรณีและเจ้าหน้าที่ตำรวจไปที่โรงจำนำ เพื่ออายัดและไถ่ถอน คือวันที่ 25 กรกฎาคม 2556 ดิฉันก็อยู่ที่โรงจำนำ และก็ได้โต้แย้งกรรมสิทธิ์ พร้อมแสดงหลักฐานว่า เพชรดังกล่าวเป็นของดิฉัน เป็นกรรมสิทธิ์ของดิฉัน ไม่ได้มีการหยิบยืม ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ขอให้มีการสอบสวนตามกระบวนการกฎหมาย แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจคนดังกล่าว ไม่ฟังคำโต้แย้ง พร้อมกับดำเนินการอายัดและไถ่ถอนเลย
หลังจากนั้น ดิฉันก็ได้ติดตามไปที่กองปราบฯ แล้วก็ทราบว่า เพชรบางส่วน 1 ใน 17 รายการของดิฉันที่คู่กรณีและพวกไถ่ถอนออกมานั้น ถูกเปลี่ยนชื่อจำนำเป็นบุคคลอื่น และมีการนำกลับเข้าไปจำนำใหม่ในราคาเดิม จากนั้นไม่ส่งดอกเบี้ยปล่อยให้หลุดและถูกนำไปขายทอดตลาด
การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่า อายัดเพชรทองของดิฉัน เพื่อประกอบสำนวนคดี การที่ปล่อยให้ทรัพย์หลุด ถูกขายทอดตลาด แสดงว่า ไม่ได้มีการนำมาเพื่อการประกอบสำนวนสอบสวนเลยที่ผ่านมา ได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจคนดังกล่าว ขอให้ส่งเพชรทองที่อายัดคืน ขอให้มีการสอบสวน แต่ก็ไม่ได้รับความร่วมมือ จนกระทั่งได้รับความเสียหาย หลังจากนั้นก็ได้ยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรม ศาลอาญาธนบุรี โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจคนดังกล่าว เป็นจำเลยที่ 1 คู่กรณีเป็น จำเลยที่ 2 ในข้อหา ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แจ้งความเท็จ ลักทรัพย์
โดยศาลชั้นต้น ยกฟ้อง โดยให้เหตุผลว่า พยานหลักฐานของดิฉันไม่เพียงพอ จากนั้นก็ไปที่ศาลอุทธรณ์ เพิ่งมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 เมษายน ที่ผ่านมาว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจคนดังกล่าวและคู่กรณีมีความผิดตามที่ดิฉันยื่นฟ้อง ถือว่าดิฉันได้รับความเป็นธรรม อย่างไรก็ตามทราบว่า คู่กรณีจะสู้คดีต่อ