
อาจารย์จากสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศ. ดร.อมร พิมานมาศ นักวิจัยชุดโครงการลดภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวในประเทศไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) บอกว่า ความเสียหายของอาคารบ้านเรือนที่พังถล่มจากแผ่นดินไหวที่เกาะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น สันนิษฐานว่าโครงสร้างของบ้านหลังเล็กๆ อาจไม่แข็งแรงพอ เพราะคนญี่ปุ่นมักก่อสร้างตามแบบแผนที่เคยทำมาในอดีต ตัวเสานิยมก่อสร้างจากไม้ขนาดเล็ก รอยต่อระหว่างคานและเสาไม่แข็งแรงพอ โดยสาเหตุสำคัญของการพังถล่ม คือ หลังคาที่ทำจากกระเบื้อง มีน้ำหนักมาก ประกอบกับเสาไม้ขนาดเล็กและรอยต่อไม่แข็งแรง ทำให้โครงสร้างพังถล่มจำนวนมาก
นักวิชาการ บอกว่า ส่วนอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กที่ก่อสร้างหลายชั้น และเกิดความเสียหาย น่าจะสร้างมาก่อนจะมีการปรับปรุงมาตรฐานการออกแบบต้านแผ่นดินไหว 2 ครั้ง คือ ในปี 1981 และปี 1995 ที่เกิดแผ่นดินไหวที่เมืองโกเบ ดังนั้นหากเป็นอาคารเก่าจึงคงไม่แข็งแรงพอที่จะต้านแผ่นดินไหวได้ โดยประเมินว่าเพียงร้อยละ 75 ที่ออกแบบและก่อสร้างได้มาตรฐานต้านแผ่นดินไหว แม้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะมีมาตรการให้เงินสนับสนุนบางส่วนแก่เจ้าของอาคารในการปรับปรุงอาคารเก่าให้ได้มาตรฐาน แต่เจ้าของอาคารบางส่วนก็ยังไม่ทำการปรับปรุงอาคาร จึงเป็นสาเหตุสำคัญให้อาคารที่อ่อนแอเหล่านี้พังถล่มเมื่อเกิดแผ่นดินไหว
สำหรับในประเทศไทยพื้นที่ที่เสี่ยงต่อแผ่นดินไหวในระดับปานกลาง เช่น ภาคเหนือ ภาคตะวันตก และกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีอาคารที่มีโครงสร้างที่อ่อนแอเช่นกัน ดังนั้นการออกแบบอาคารใหม่จะต้องคำนึงแรงแผ่นดินไหว ส่วนอาคารเก่าก็ควรทำการประเมินว่าสามารถต้านแผ่นดินไหวได้ในระดับใด และต้องทำการปรับปรุงหรือเสริมความมั่นคงอาคารให้แข็งแรงต่อไป