
พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า จากกรณีที่มีนักวิชาการ พระสงฆ์จากภาคอีสาน ใต้ เรียกร้องให้ลาออกนั้น ขอเรียนว่า ท่านเข้าใจข้อมูลครบถ้วนไหมในวันที่แถลง ท่านได้รับข้อมูลอย่างละเอียด หรือฟังจากบางช่วงบางตอน จับประเด็นไปพูด เพราะประเด็นที่พูดเหมือนกับจาบจ้วงสมเด็จช่วง ไม่ให้เกียรติ ถ้าจับบางประเด็นก็อาจจะเป็นอย่างนั้น ถ้าฟังไม่หมด ก็ไม่ได้โกรธ ปกติจะเชิญคนที่เข้าใจผิดมาคุย เพราะไม่อยากใช้หน้าสื่อ ตอบโต้ไปมา ชี้แจง มันเสียเวลา คุยกันด้วยตัวเองจะชัดเจนกว่า คิดว่า เขาคงเข้าใจผิด เพราะผมไม่ได้กระทำสิ่งเหล่านั้น
ปกติผมทำงานในกระทรวงยุติธรรม จะไม่ลง ไม่สั่งรายละเอียดของหน่วยมาก เพราะเราคุมนโยบาย คุมงานให้เดินไปตามที่กำหนด แต่งานนี้ จะเห็นในเรื่องกรณีรถหรู ผู้ครอบครองคือสมเด็จช่วง และบังเอิญเป็นช่วงเดียวกับที่มีการร้องเรียนเรื่องการแต่งตั้งสังฆราช ซึ่งผมไม่เคยพูดเลยว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกัน ผมดำเนินเฉพาะคดีรถหรูเท่านั้น เพราะเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และเรื่องเข้ามาถึงดีเอสไอคิดไว้แล้วเรื่องนี้น่าจะมีปัญหา หากรัฐมนตรีลงไป เพราะกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ จะนำไปเป็นประเด็น เป็นข้อประโยชน์ของตนเอง จริงๆ แล้ว คนเชียร์ผมก็เยอะ สะใจ โน่นนี่บ้าง คนที่ไม่ชอบก็ลงเต็ม ลาออกบ้าง ก็ไม่ใช่ประเด็นที่ท่านพูดแล้ว คนเชียร์ผมก็เยอะ สู้กันไป
ผมขอร้องให้ยุติกันได้แล้ว ผมไม่พอใจทั้งสองฝ่าย เพราะผมเป็นคนที่ไม่ต้องการเอาผมไปว่ากันในเรื่องของผลประโยชน์ของกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ อย่าไปเขียน ผมขอร้องมาตลอด ผมพยายามหลีกเลี่ยงเรื่องนี้มาในหลายๆ ประเด็น แต่เรื่องนี้หลีกเลี่ยงไม่พ้น
คดีนี้เป็นเรื่องของสถานะทางสังคมของสมเด็จช่วง และขณะเดียวกัน สมเด็จช่วงก็เป็นผู้ครอบครองรถที่ผิดกฎหมาย ซึ่งผมเองก็ลงมากำกับดูแลเรื่องนี้ อย่าให้เสื่อมเกียรติในสถานะทางสังคม
การปฏิบัติหน้าที่ของดีเอสไอ จะยึดตามกฎหมาย คดีนี้ จริงๆ แล้วตั้งแต่เมื่อรู้ว่า รถผิดกฎหมาย พนักงานสอบสวนก็ไปตรงนั้น ไปยึด ผมก็สั่งไปว่า ไม่ต้องได้ไหม ลองคุยกันก่อน ก็จะเห็นได้ว่า ทางวัดก็ส่งรถไปอู่ ทางเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า ไม่ได้ รถผิดกฎหมาย ต้องยึด ก็ตกลงกันว่า เอามาคืน มาส่ง
ประการต่อมา ผู้ครอบครองรถผิดกฎหมาย ต้องออกหมาย เพื่อสอบปากคำ ผมก็บอกว่า ออกเป็นหนังสือได้ไหม เพื่อให้เข้ามาสอบปากคำ เขาก็ทำตาม ทำหนังสือส่ง ต่อมาก็เป็นเรื่องของสถานที่ วันเวลา ทางวัดก็ประสานมาจะส่งทนายมา เราก็กำชับให้เลือกสถานที่ปกปิดมิดชิดหน่อย จะเห็นได้ว่า เขาเลือกเวลา 20.00 น. ปกติไม่มี เพราะเลยเวลาราชการแล้ว แต่ทางดีเอสไอก็ไป และผมยังให้นำธูปแพ เทียนแพ ไปด้วย และสั่งด้วยว่า ให้อธิบดี หรือรองอธิบดี เท่านั้น ปกติก็ให้พนักงานทำคดีไปเท่านั้น
เมื่อไปถึงวัด กลับไม่เป็นไปอย่างที่ตกลง แต่กลับมีการยึดสิ่งของของเจ้าหน้าที่ พอเจ้าหน้าที่แจ้งมา ก็บอกว่าไป เข้าไป เพราะเราต้องการสอบปากคำ แต่สุดท้ายก็ยกเลิก ไม่ให้สอบปากคำ ก็ไม่ต้องสอบปากคำ และผมยังกำชับด้วยว่า ไม่ให้แถลงข่าวเพราะไม่อยากตอบโต้กันไปมา และไม่ต้องการใช้สถานที่วัดปากน้ำแถลงเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะค่อนข้างหมิ่นเหม่
สุดท้ายผมก็ต้องเป็นผู้ให้สัมภาษณ์เอง ชี้แจงเอง ปกติผมไม่เคยเข้าไปเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับคดีพวกนี้ เพราะเกรงว่า จะมีการนำไปใช้ประโยชน์ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แล้วก็มีการนำไปใช้จริงๆ ทั้งกลุ่มเชียร์ผมและไม่เชียร์ผม
ผมเชื่อว่า คนที่เข้าใจสถานการณ์ คนที่มีวิจารณญาณ จะเข้าใจว่า ผมไม่ได้จาบจ้วงอะไรเลย ผมระมัดระวัง และพยายามควบคุมเจ้าหน้าที่ด้วยซ้ำไป
ในการสอบปากคำ ไม่เคยมีกับกรณีที่จะกำหนดข้อคำถาม เพราะหากคำตอบไม่กระจ่าง ก็ต้องถามกลับไปใหม่ จะไม่รู้วันจบ ต้องถามตรงนั้นให้จบ คำตอบไหนคลุมเคลือ ไม่เข้าใจก็ถามให้กระจ่าง ดังนั้น จึงไม่ตั้งคำถามเป็นข้อๆ ตามที่ทางวัดแจ้งมา
ยอมรับรู้สึกไม่พอใจ เพราะผมกำชับให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำอะไรให้เรียบร้อย ตามที่เขาต้องการ และวันเวลาที่ไปสอบปากคำ ก็เป็นไปตามที่ทางวัดกำหนด ก็ต้องพิจารณากันเองผมดูแลดีเอสไอ เมื่อลูกน้อง ผู้ใต้บังคับบัญชาผมมีปัญหา ถูกกระทำ ผมก็ต้องออกมา ผมไม่ลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ปล่อยให้ลูกน้องไปโดนคนเดียวไม่ใช่วิสัยผม