
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 4 มกราคม พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) กล่าวถึง กรณีคณะกรรมการบริหารสมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทยได้ร่วมคัดเลือกชื่อให้ตนเป็น 1 ใน 11 ฉายาตำรวจประจำปี 2558 โดยมอบฉายา ผบ.เสียทรง นั้นว่า ตนต้องขอขอบคุณที่ร่วมกันตั้งฉายานี้ให้ แต่หากถามว่าเสียความรู้สึกหรือไม่นั้น ก็เสียความรู้สึก แต่ตนขอชี้แจงต่อสื่อมวลชนว่าในขณะที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ยังดำรงตำแหน่งเป็น ผบ.ตร. อยู่นั้น ท่านก็ไม่ได้ทำงานมากมาย แต่ท่านได้มอบหมายงานให้แก่รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ดำเนินการแทน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าสมัยที่ พล.ต.อ.สมยศ ยังเป็น ผบ.ตร.อยู่ ท่านก็มอบหมายให้ตนรับผิดชอบเรื่อบงานสือบสวน งานความมั่นคง เพราะฉะนั้นบทบาทการทำงานก็ไปรวมอยู่ที่รองผบ.ตร. ส่วนรูปแบบการทำงานของ ผบ.ตร. จะดำเนินการตามรูปแบบของซีอีโอในการบริหารโดยรับนโยบายจากรัฐบาลเพื่อมาถ่ายทอดสู่การปฏิบัติ อย่างไรก็ตามการตั้งฉายาให้ตนแบบนี้ จะถือว่าไม่ให้ความเป็นธรรมกับตนเลย หรือจะไม่ให้แบ่งงานให้แก่ รองผบ.ตร. และมอบภาระให้ตนทำงานคนเดียว ตนก็ทำได้ แต่หลักการบริหารงานจะผิด เพราะในส่วนของการบริหารงานบุคคลจะต้องกระจายให้แก่ รองผบ.ตร.บริหารงานเท่านั้น
ให้ฉายานี้แก่ผม เท่ากับผมไม่ได้ทำงานอะไรเลย ตั้งเสียฟอร์ม เสียทรง ใครเป็นผู้นำหน่วยงานก็ต้องทำแบบนี้กันทั้งนั้น โดยในภาพรวม ตนเป็น ผบ. แล้วจะให้ตนลงมาเฝ้าจุดเอง มันก็ไม่ใช่ ผมขอชี้แจงแบบนี้ว่าครั้งต่อไปหากจะตั้งฉายาใคร ก็ต้องทบทวนบทบาท ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ก่อนที่จะตั้งฉายาออกมาให้ปรากฎ ผมไม่มีสิทธิไปแก้ตัวแก้ต่างอะไรทั้งนั้น ซึ่งขอขอบคุณสื่อมวลชนที่ถามคำถามนี้กับผม ผมก็ไม่รู้ว่าผมเสียฟอร์มตรงไหน ผบ.ตร.กล่าว
พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวต่อว่า ตนเพิ่งบริหารงานได้เพียง 3 เดือน ซึ่งในระหว่าง 3 เดือนมีคดีใหญ่ๆ หรือไม่ ก็ยังไม่มีให้เห็น นั่นสรุปว่าการป้องกันปราบปรามประสบความสำเร็จ เพราะยังไม่มีคดีใหญ่ให้ปรากฎ หรือจะให้มีคดีระเบิดแล้วให้ตนไปจับก็ได้ แต่ในรูปแบบการทำงานแล้วก็ต้องเลือกการป้องกันมาก่อนการแก้ไข เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตนทำมาตั้งแต่เป็น รองผบ.ตร. ถือว่าเป็นการรับคำสั่งจาก ผบ.ตร. ถามว่าทุกวันนี้พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ และพล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผบ.ตร. ก็ขับเคลื่อนตามหน้าที่ของตัวเอง โดยเฉพาะงานปราบปราม แต่ในส่วนของงานมั่นคงก็อยู่ในความรับผิดชอบของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล และในส่วนงานจราจรก็อยู่ในความรับผิดชอบของ พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา ซึ่งให้ตนทำทุกอย่างแล้วจะให้ รองผบ.ตร.อยู่เฉยๆ ก็คงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นสื่อไม่มีสิทธิจะตั้งฉายา เสียทรง แก่ตน ต้องทำความเข้าใจว่าลักษณะงานและโครงสร้างการทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นรูปแบบนี้อยู่แล้ว ไม่ใช่นึกจะตั้งชื่อก็ตั้ง ควรจะมองทุกมิติ ว่าตนทำหน้าที่อะไรในปัจจุบันแล้วให้ไปเทียบเคียงเมื่อครั้นที่ตนเป็นรองผบ.ตร.ดู
ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า หากอีกหน่อย พล.ต.อ.ศรีวราห์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งผบ.ตร. แล้วไม่มีคดีออกมาให้เห็น ก็ไปตั้งฉายาว่า เสียทรง อย่างนั้นหรือ ดังนั้นการตั้งฉายาตำรวจในแต่ละปีก็ต้องให้ความเป็นธรรมด้วยและอย่าไปคิดเอาเอง ทำให้ตนถูกผู้บังคับบัญชาตำหนิติเตียนว่างานไม่ทำ แบบนี้ตนก็เสียหาย อย่าเขียนสนุกปากกาอย่างเดียว ตนก็ไม่เคยโกรธเคืองอะไรแต่ในบางครั้งก็ขอให้ดูบทบาทแต่ละคนด้วยว่าตนควรจะอยู่ตรงไหนและทำอะไรอยู่ รวมถึงฝากไปใคร่ครวญก่อนที่จะออกมาเป็นตัวหนังสือ คิดว่าตั้งฉายาอื่นจะดีกว่า ซึ่งคำว่าเสีย มันก็เสียอยู่แล้ว เสียทุกเรื่อง ส่วนใครจะเชียร์ใครมาตั้งเก้าอี้ต่อไปก็แล้วแต่เมื่อเช้าผมอ่านหนังสือพิมพ์บางฉบับออกตัวเชียร์คนโน้นคนนี้ คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่าภายในเดือนเมษายนนี้ ผมจะอยู่รอดหรือเปล่า ถ้าอย่างนี้ก็ทำให้องค์กรตำรวจแตกแยก ในปีใหม่นี้ผมก็ไม่มีอะไร ก็อยากจะพูดกับสื่อในเรื่องดีๆ แต่เมื่อถามก็ต้องตอบ เพราะตนก็ไม่มีโอกาสตอบคำถามกับสื่อเลย ผมไม่มีโอกาสชี้แจงเลย สื่อก็ลงข่าวทุกวัน ผมไปไหนก็ได้ยินแต่คำว่า ผบ.เสียทรง แบบนี้ ขอพูดแค่นี้ดีกว่า ปีใหม่แล้ว ก็อยากจะพูดเรื่องดีๆบ้าง ผบ.ตร. กล่าว