
นายกุลิศ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่าจะมีขบวนการลักลอบขนงาช้างผิดกฎหมายจำนวนมาก โดยใช้สนามบินในภูมิภาคเป็นจุดผ่านของสินค้าเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ ซึ่งประเทศไทย โดยกรมศุลกากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้ร่วมบรูณาการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้างาช้างผิดกฎหมาย โดยเฉพาะงาช้างที่ลักลอบจากประเทศในทวีปแอฟริกา เข้ามาสวมสิทธิเป็นงาช้างบ้าน หรือนำมาผลิต แกะสลักที่ประเทศไทย
นายกุลิศ กล่าวต่อว่า ทางเจ้าหน้าจึงได้ทำการตรวจสอบเอ็กซเรย์อย่างละเอียดที่ท่าอากาศยานนานาชาติสมุย พบงาช้างผิดกฎหมายกว่า 281ท่อน มูลค่า 38 ล้านบาท และเกล็ดลิ่นจำนวน 12 ถุง มูลค่า 2 ล้านบาท จากการตรวจสอบพบว่าเป็นบริษัทเอเย่นต์รายใหม่ต้นทางออกจากประเทศไนจีเรียและประเทศสิงคโปร์เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม โดยจะผ่านท่าอากาศยานท้องถิ่นของไทยและหลีกเหลี่ยงเส้นทางท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิเนื่องจากมีการตรวจจับที่กุมเข้ม ก่อนจะส่งต่อไปยังประเทศลาว หลังจากสามารถจับกุมได้จะนำงาช้างไปตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอต่อไปคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน และจะทำการขยายผลและออกหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อไป โดยมีความผิด พ.ร.บ.ของศุลกากร ,พ.ร.บ.คุ้มครองสัตว์ป่า, พ.ร.บ.กักกั้นโรคอีกด้วย อย่างไรก็ตามการจับกุมงานครั้งนี้เป็นครั้งที่ใหญ่ที่สุดในงบประมาณปี 2559
นายกุลิศ เปิดเผยว่า ด้วยความร่วมมือในการติดตาม ตรวจสอบ จับกุม ขยายผล และจากการประสานงานของคณะอนุกรรมการด้านกำกับดูแลและการบังคับใช้กฏหมายตามแผนปฎิบัติการ งาช้างแห่งประเทศไทยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศต้นทาง ปลายทาง เพื่อสืบหาตัวการในการกระทำความผิดในคดีการลักลอบนำงาช้างจากประเทศเคนยาจำนวน 3,286.25 กิโลกรัม เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2558 ทำให้ทางเคนยาสามารถจับกุมผู้ส่งสินค้าและผู้ร่วมขบวนการได้จำนวน 11 รายที่เกี่ยวข้องกับการส่งงาช้างผ่านประเทศไทย พร้อมทั้งนำคดีเข้าสู่การพิจารณาของศาลเพื่อออกคำสั่งยึดอายัดทรัพย์ของผู้เกี่ยวข้องต่อไปรวมถึงคดีการจับกุมงาช้างครั้งใหญ่ของประเทศสิงคโปร์จำนวน 3.7 ตัน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการประสานงานผ่านเครือข่ายความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเช่นกัน