
รายงานระบุว่าการที่ประชากรสูงวัยในเอเชียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดจากการเติบโตที่รวดเร็วของเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ประชาชนมีการศึกษาดีขึ้นและมีรายได้สูงขึ้นทำให้ประชาชนมีอายุยืนยาวขึ้น ประกอบกับอัตราการเกิดที่ต่ำลงอย่างมาก ดังนั้นจึงจะทำให้ภายในปี 2603 หรือ 45 ปีข้างหน้า เอเชียตะวันออกจะมีประชากรที่สูงวัยถึง 1 ใน 5 เมื่อเทียบกับ 1 ใน 25 เมื่อปี 2553
ประเทศต่างๆกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยที่ต่างกัน เช่นในญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ จัดเป็นสังคมสูงวัยแบบก้าวหน้า จากประชากรที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปร้อยละ 14 ขึ้นไป แต่ลาว กัมพูชา ปาปัวนิวกินี จะมีประชากรสูงวัยน้อยกว่า และยากจนกว่าที่ร้อยละ 4 ซึ่งประเทศกลุ่มนี้จะก้าวสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็วภายใน 20-30 ปี และในจีน ไทย และเวียดนาม เป็นกลุ่มประเทศรายได้ปานกลาง ที่จะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็วและต้องเผชิญความท้าทายในการบริหารจัดการเกี่ยวกับผู้สูงวัย
การที่จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเอเชียตะวันออกได้ส่งผลเป็นประเด็นท้าทายด้านนโยบายเศรษฐกิจและความกดดันด้านการคลัง รวมไปถึงความเสี่ยงด้านสังคม ยกตัวอย่างเช่นถ้าหากไม่มีการปฏิรูประบบบำนาญ คาดว่าภายในปี 2583 ภูมิภาคนี้ต้องใช้เงินประมาณร้อยละ 8-10 ของจีดีพี เพื่อจ่ายเงินบำนาญ
นายฟิลิป โอคีฟ ผู้เขียนหลักของรายงานฉบับนี้ บอกว่า การเลือกดำเนินนโยบายของรัฐบาลจะสามารถช่วยให้สังคมปรับตัวกับเรื่องผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการส่งเสริมสุขภาพและการสูงวัยอย่างมีคุณค่า
รายงานนี้มีข้อเสนอแนะว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกควรปฏิรูประบบบำนาญเดิมที่มีอยู่ และการขยายอายุการเกษียณแบบค่อยเป็นค่อยไป และสร้างระบบบำนาญที่ยั่งยืนเพื่อรับมือกับเรื่องผู้สูงวัยในอนาคต และทุกประเทศจำเป็นต้องปรับปรุงคุณภาพของกำลังแรงงานที่มีอยู่ โดยสร้างความเข้มแข็งด้านการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต และควรเปลี่ยนการดำเนินงานด้านระบบสุขภาพจากเดิมที่โรงพยาบาลเป็นศูนย์กลางไปสู่ยังหน่วยงานตามชุมชนต่างๆ ให้มากขึ้น