
อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย หรือที่หลายคนอาจจะรู้จักในชื่อหุบเขา AVATAR ตั้งอยู่ที่เมืองจางเจียเจี้ยทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลหูหนาน เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของสาธารณรัฐประชาชนจีน ตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1982 และได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติจากองค์การยูเนสโก้ในปี ค.ศ.1992
อุทยานจางเจียเจี้ยมีเนื้อที่กว่า 369 ตารางกิโลเมตร มีความโดดเด่นของสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้คือ ยอดเขาและเสาหินควอตซ์สูงประมาณ 200 เมตร ตั้งตระหง่านกว่า 3,000 ยอด มีช่องแคบ ลำธาร และถ้ำกว่า 40 แห่ง และด้วยความสวยงามของยอดเขาในจางเจียเจี้ยนี่เองที่ไปเป็นแรงบันดาลใจให้ทีมงาน AVATAR เนรมิตดวงดาวแพนดอร่าขึ้นมา จนทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนสนใจที่จะออกตามหาดวงดาวแห่งนี่ขึ้นมาจริงๆ และเรียกมันว่าหุบเขา AVATAR
จางเจียเจี้ย เป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดของจีน อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรการท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง แหล่งท่องเที่ยวสำคัญในเมืองจางเจียเจี้ย เป็นพื้นที่ป่าไม้ถึง 98% ซึ่งนับเป็นออกชิเจนทางธรรมชาติ อีกทั้ง ชาวจางเจียเจี้ยที่รักในธรรมชาติยังได้ดำเนินนโยบายอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างมีประสิทธิผล เมืองจางเจียเจี้ยจึงเปรียงดั่งดินแดนบริสุทธิ์ของโลก
นอกจากนั้น ที่นี้ยังเป็นแหล่งชุมชนของ 33 ชนเผ่า เช่น ชนเผ่าถู่เจีย ชนเผ่าไป๋ และชนเผ่าเหมียว สภาพภูมิศาสตร์ที่มีเอกลักษณ์นี่เองทำให้วัฒนธรรมของชนเผ่าต่างๆ ได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดี
การเดินทางไปท่องเที่ยวยังอุทยานจางเจียเจี้ยค่อนข้างสะดวกสบายสำหรับชาวไทย เนื่องจากปัจจุบันมีเที่ยวบินตรงจากไทยบินตรงไปจางเจียเจี้ยเลย หรืออีกวิธีคือลงเมืองฉางซา เมืองเอกของมณฑลหูหนาน จากนั้นเดินทางต่อด้วยรถสู่เมืองจางเจียเจี้ย เป็นเวลาประมาณ 5 ชั่วโมง โดยระหว่างเส้นทางจากฉางซาไปจางเจียเจี้ย ก็จะได้ชมทัศนียภาพขุนเขาน้อยใหญ่สองข้างทางด้วย
และการท่องเที่ยวภายในจางเจียเจี้ยก็จะมีบัตรแบบเหมา 4 วันเต็มๆ ด้วยราคา 248 RMB หรือตีเป็นเงินไทยประมาณ 1,500 บาทค่ะ ซึ่งสามารถเข้าชมได้ทุกจุดในจางเจียเจี้ย โดยจะรวมค่าเดินทางภายในทั้งหมด ทั้งรถบัสและกระเช้าลอยฟ้าที่มีให้บริการตามจุดต่างๆ หรือหากอยากเข้าเป็นบางสถานที่ ก็มีการเก็บค่าธรรมเนียมตามทางเข้าจุดต่างๆ ด้วยเช่นกัน
นักท่องเที่ยวชาวไทย เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่สุดในอาเซียนที่เดินทางไปยังจางเจียเจี้ย โดยข้อมูลจากทางการจางเจียเจี้ยระบุว่า มีชาวไทยเดินทางไปท่องเที่ยว 2 - 3 หมื่นคนทุกปี และมีประชากรอาเซียนเดินทางไปราว 5 หมื่นคนทุกปี และในปีที่แล้วการท่องเที่ยวจางเจียเจี้ยมีรายได้ถึง 250 ล้านหยวน
ในอนาคตทางการจางเจียเจี้ยยังมีโครงการที่จะทำให้จางเจียเจี้ยเป็นศูนย์กลางการทำกิจกรรม outdoor และการแข่งขันกีฬาพาดโพนต่างๆ ด้วย ทางการจางเจียเจี้ยก็คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปีหน้า ซึ่งก็จะเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ให้ผู้ที่เดินทางมาได้ทำกิจกรรมต่างๆ ท่ามกลางธรรมชาติที่งดงาม
น่าเสียดายที่ในช่วงที่ทีมงานเดินทางไปอากาศหนาวทำให้มีหมอกและมีฝนตกทำให้เห็นทัศนียภาพของเมืองจางเจียเจี้ยแห่งนี้ไม่ชัดเจนนัก แต่ถ้าใครจะเดินทางไปดิฉันขอแนะนำให้ไปในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ประมาณเดือน พฤษภาคม และช่วงฤดูใบไม้ร่วง ช่วงประมาณเดือน กันยายน - ตุลาคม เพราะจะเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามได้อย่างชัดเจน