svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ต่างประเทศ

"เกาได๋" ศาสนาลูกผสมแห่งเวียดนาม

แม้ว่าจากข้อมูลการสำรวจประชาชนเวียดนามพบว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีศาสนา แต่ในเวียดนามกลับเป็นแหล่งกำเนิดของศาสนาหนึ่งที่เพิ่งมีอายุไม่ถึง 100 ปี จึงนับเป็นศาสนาที่มีอายุยังน้อย ศาสนานี้คือ "เกาได๋" ส่วนที่มาที่ไปของศาสนานี้จะเป็นอย่างไร หรือว่าจริงๆแล้วเป็นแค่ นิกาย หรือลัทธิ ไปติดตามจากคุณกิตติดิษฐ์ ธนดิษฐ์สุวรรณครับ

หลังจากที่เวียดนามได้เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบสังคมนิยมอย่างเต็มตัวเมื่อรวมประเทศเมื่อปี 2519 แล้ว เวียดนามก็ไม่มีศาสนาอย่างเป็นทางการ เพราะศาสนาใดๆ ก็ตามถือว่าขัดกับหลักการของระบอบสังคมนิยมที่เป็นแบบอเทวนิยม หรือมีแนวความคิดไม่เชื่อในพระเจ้า นอกจากนี้รัฐบาลเวียดนามยังไม่ไว้ใจบางศาสนาที่อาจมีอิทธิพลทางการเมืองเข้ามาแทรกแซงและเป็นภัยต่อความมั่นคง โดยเฉพาะศาสนาคริสต์อีกด้วย
ขณะที่ปัจจุบัน ประชาชนเริ่มมีเสรีภาพในการนับถือศาสนามากขึ้น โดยการสำรวจล่าสุดของพิวรีเสิร์ชเซ็นเตอร์จากสหรัฐฯ เมื่อปี 2553 พบว่า คนเวียดนามส่วนใหญ่ร้อยละ 45.3 นับถือภูติผีหรือบรรพบุรุษหรือพูดง่ายๆ ว่าไม่ได้นับถือศาสนาใดใด รองลงมาเป็นพระพุทธศาสนานิกายมหายานที่ร้อยละ 16.4 ตามมาด้วยศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกในอันดับ 3 ที่ร้อยละ 8.2 ส่วนที่เหลืออีกราวร้อยละ 30 มีทั้งศาสนาอิสลาม ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู รวมทั้งศาสนาที่มีจุดกำเนิดในท้องถิ่นอย่างศาสนาเก๋าได๋ด้วยครับ
ในการมาเยือนวัดเกาได๋ในวันนี้ ผมมากับคุณเล มินห์ ฟุค ชาวเวียดนามด้วยครับ คุณฟุคเล่าให้ผมฟังว่า ศาสนาเก๋าได๋ เป็นศาสนาที่เกิดขึ้นในประเทศเวียดนามเมื่อปี 2469 หรือเมื่อไม่ถึง 100 ปีที่ผ่านมา ในจังหวัดเตยนิญทางภาคใต้ของประเทศ และมีที่มาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองด้วยครับ
ส่วนในปัจจุบัน คุณฟุคก็บอกว่า เกาได๋ก็ยังคงไม่ใช่ศาสนาประจำเวียดนามอย่างที่หลายคนเข้าใจกัน เพราะว่ามีแนวคิดที่ต่อต้านระบอบสังคมนิคม
ศาสนาเกาได๋เป็นศาสนาลูกผสม โดยรวมหลักของพุทธศาสนา ลัทธิขงจื้อ ลัทธิเต๋า และคริสต์เข้าด้วยกัน นั่นคือ ผู้เป็นศาสดาของศาสนาต่างๆ คือ พระผู้เป็นเจ้าสูงสุดองค์เดียวกัน สอดคล้องกับความหมายของคำว่าเกาด่ายหรือเกาได๋ ที่แปลว่า พระผู้เป็นเจ้าสูงสุดหรืออำนาจที่สูงสุด ส่วนหลักคำสอนที่สำคัญนั้น ก็ให้นับถือผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว นับถือบรรพบุรุษ รักความดี และความยุติธรรมครับ แต่เมื่อพูดถึงสิ่งที่คนจดจำได้มากที่สุดว่านี่คือศาสนาเกาได๋แล้วก็ต้องเป็นดวงตาที่อยู่บนวัตถุทรงกลมแบบนี้เลยครับ
คุณฟุคบอกกับผมว่า ดวงตาที่เห็นนี้เป็นตัวแทนดวงตาข้างซ้ายของพระผู้เป็นเจ้า เปรียบเสมือนกับสัญลักษณ์หยางของจีนซึ่งหมายถึงเพศชาย และต้องคู่กันกับหยินที่เป็นตัวแทนของเพศหญิงเมื่อมาถึงที่วัดแล้ว ผมก็ได้มีโอกาสเข้าไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยครับ โดยบรรยากาศภายในนั้นค่อนข้างเงียบสงบ มีเพียงคุณป้าท่านนึงเท่านั้นที่นุ่งขาวห่มขาวกำลังประกอบพิธีกรรมอยู่ ซึ่งคุณป้าก็ได้สาธิตวิธีการไหว้ให้ผมดูด้วย มีทั้งการยืน การนั่ง การปักธูป แล้วก็การกราบ แต่เห็นตัวอย่างเพียงแค่ครั้งเดียวคงยังไม่พอ ผมเองก็เลยไปไม่เป็น งงๆ อย่างที่เห็นนี่แหละครับ
ปัจจุบัน จำนวนผู้นับถือศาสนาเกาได๋ในเวียดนามยังคงไม่มีตัวเลขที่ชัดเจน แต่ข้อมูลล่าสุดของรัฐบาลในปีนี้ระบุว่า มีประมาณ 3 ล้าน 2 แสนคน เฉพาะที่สาขาจังหวัดเตยนิญ และอาจสูงถึง 4 ถึง 6 ล้านคนเมื่อรวมทุกสาขาทั่วประเทศ
นอกจากเวียดนามแล้ว ยังมีผู้นับถือศาสนาเกาได๋ในสหรัฐฯ ออสเตรเลีย และยุโรปอีกหลายหมื่นคนด้วย โดยส่วนใหญ่เป็นชาวเวียดนามที่อพยพไปอาศัยในต่างประเทศครับ แต่คุณฟุคบอกว่าตอนนี้คนเวียดนามรุ่นใหม่ไม่ค่อยรู้จักเกาได๋กันแล้ว ถ้าลองไปถามวัยรุ่นดู บางคนก็อาจจะตอบว่าไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำครับ
แต่ท่านผู้ชมทราบหรือไม่ครับว่าจนถึงทุกวันนี้ทั่วโลกก็ยังคงถกเถียงในประเด็นของคำว่า ศาสนา สำหรับเกาได๋อยู่ ด้วยเหตุผลด้านที่มาที่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ศาสดาที่เป็นการนำเอาหลายศาสนามารวมกัน ไปจนถึงอายุที่เพิ่งเกิดมาได้ไม่ถึง 100 ปีเท่านั้น และก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะได้ข้อยุติง่ายๆ ครับ
ขณะที่เมื่อพูดถึงบรรยากาศของเสรีภาพในการนับถือศาสนาของชาวเวียดนามโดยรวมก็ต้องบอกว่ายังน่าเป็นห่วงครับ โดยล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้ว คณะกรรมการร่วมนานาชาติว่าด้วยเสรีภาพในการนับถือศาสนาของสหรัฐฯ หรือ USCIRF ได้ออกรายงานประจำปี ระบุว่า เวียดนามยังคงจำกัดการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาการเข้มงวด และยังปราบปรามกลุ่มศาสนาหรือบุคคลใดๆ ที่มองว่าท้าทายอำนาจรัฐ
ก็อย่างที่บอกไปล่ะครับว่าศาสนาเป็นประเด็นที่อ่อนไหวสำหรับระบอบคอมมิวนิสต์ แต่ด้วยโลกปัจจุบันที่มนุษย์สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้รวดเร็วขึ้น การควบคุมของภาครัฐจึงไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อน ส่วนเราคนไทยก็คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า เวียดนามจะหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับทั้งรัฐบาลและกลุ่มผู้นับถือศาสนาต่างๆ ได้อย่างไรครับ