เฟเดริก้า โมเกรินี หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของอียู แถลงต่อที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงของยูเอ็นเมื่อวันจันทร์เสนอรายละเอียดกรอบปฏิบัติการของอียูในการลาดตระเวนน่านน้ำเพื่อยับยั้งกระบวนการลักลอบนำผู้อพยพจากแอฟริกาเหนือเข้าสู่ยุโรป ตลอดจนการค้นหากู้ภัยเพื่อช่วยเหลือผู้อพยพจากเรือที่ประสบอุบัติเหตุ โดยให้ความมั่นใจว่าจะไม่มีการส่งกลับผู้อพยพหรือผู้ขอลี้ภัย หากพวกเขาไม่สมัครใจ และยืนยันว่าอียูจะเคารพสิทธิของผู้อพยพเหล่านี้ตามอนุสัญญาเจนีวา
ตามข้อเสนออียูที่จะมีการหารือในการประชุมวันที่ 18 พ.ค. จะมีการระบุตัว จับกุม และทำลายเรือ ก่อนที่เรือจะถูกใช้ในการลักลอบนำผู้อพยพล่องเรือเข้าสู่ยุโรป แต่อียูไม่อาจทำตามลำพังได้ จึงอยากขอให้เป็นความร่วมมือกันของประชาคมโลก และอยากให้สหประชาชาติสนับสนุนภารกิจเพื่อช่วยทำลายกระบวนการลักลอบนำผู้อพยพเข้าเมืองและรักษาชีวิตผู้อพยพ
นอกจากนี้เธอบอกด้วยว่าข้อเสนอนี้จำเป็นต้องได้รับการเห็นชอบจากลิเบีย ที่เป็นต้นทางของเรือผู้อพยพส่วนใหญ่ แต่ยังถูกคัดค้านจากลิเบีย
ขณะเดียวกันมีเสียงเตือนจากหลายฝ่ายว่า การใช้กำลังทหารในน่านน้ำลิเบีย หรือการสกัดเรือที่ติดธงของชาติหนึ่งชาติใดโดยไม่ได้รับการอนุญาตจากนานาชาติจะเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
นางโมเกรินี บอกด้วยว่า ระหว่างรอมติจากยูเอ็นในการให้อำนาจปฏิบัติการยับยั้งเรือผู้อพยพ อียูจะใช้มาตรการอื่นๆ แต่เธอไม่ได้ให้รายละเอียด
ความเคลื่อนไหวของอียูเพื่อแก้ปัญหาผู้อพยพมีขึ้นหลังจากมีผู้อพยพเสียชีวิตจากการล่องเรือข้ามทะเลเมดิเตอเรเนียนเข้าสู่ยุโรปถึง 5,000 คนในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา
และอียูจะยื่นข้อเสนอในวันพุธนี้ที่จะกำหนดโควต้าให้ชาติสมาชิกร่วมกันแบ่งเบาภาระการรองรับผู้ขอลึ้ภัยรวมปีละ 20,000 คนภายในปี 2563 โดยเกณฑ์ที่ใช้กำหนดโควต้าจะประกอบด้วย มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพี, จำนวนประชากร อัตราว่างงาน และจำนวนผู้อพยพขอลี้ภัยที่แต่ละประเทศเคยรับไว้ในอดีต