
บริษัทสำรวจนำมันยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ ยูเค ออย แอนด์ ก๊าซ อินเวสต์เม้นท์ หรือ UKOG เปิดเผยว่า ค้นพบน้ำมันดิบจำนวน 1 แสนล้านบาร์เรล ในบริเวณใกล้กับสนามบินแก็ตวิค ไม่ไกลจากกรุงลอนดอน แต่สามารถสูบขึ้นมาใช้ได้เพียง 3-15 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เนื่องจากใต้พื้นดินเต็มไปด้วยหินที่แข็งมากและยากที่น้ำมันจะซึมผ่านได้
แต่นายสตีเฟ่น แอนเดอร์สันประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ CEO ของ UKOG กล่าวว่า ได้ทำการขุดเจาะบ่อน้ำมันแห่งนี้มาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1930 แต่เนื่องจากมีแนวคิดและวิธีการและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้บริษัทมีความเข้าใจในศักยภาพของพื้นที่มากกว่าเดิม
บ่อน้ำมันที่พบใหม่นี้ มีขนาดใหญ่กว่าบ่อน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดที่พบในทะเลเหนือในรอบ 20 ปีที่ผ่านมาถึง 10 เท่า และข่าวการค้นพบนี้ ทำให้ราคาหุ้นของ UKOG ที่เป็นบริษัทพลังงานขนาดเล็กพุ่งสูงถึง 200 เปอร์เซ็นต์
ส่วนการใช้เทคนิคแฟร็คกิ้ง (fracking) หรือการขุดเจาะน้ำมันแนวนอนที่ใช้วิธีการใส่สารเคมีเพื่อละลายน้ำมัน ซึ่งเป็นที่มีการโต้แย้งกันมาก เนื่องจากส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมไม่จำเป็นต้องเอามาใช้ในกรณีนี้ แต่จะมีการทดสอบมากกว่านี้ เพื่อดูว่าจะสามารถสูบน้ำมันขึ้นมาได้มากน้อยเพียงใด
การสำรวจบ่งชี้ว่า ในบริเวณที่ค้นพบ มีน้ำมันดิบราว 158 ล้านบาร์เรลต่อตารางไมล์ ซึ่งหมายความว่า ภายในพื้นที่ทั้งหมด อาจมีปริมาณน้ำมันดิบถึง 100,000 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นจำนวนที่มหาศาลเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำมันดิบประมาณ 42,000 ล้านบาร์เรล ที่อังกฤษสูบขึ้นมาจากทะเลเหนือ นับตั้งแต่ได้รับอนุญาตเมื่อปี 2507 หรือกว่า 50 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนายแซนเดอร์สัน กล่าวว่า เมื่อประเมินจากการสำรวจแห่งใหม่ ทำให้พื้นที่นี้กลายเป็นแหล่งน้ำมันดิบระดับโลกแห่งใหม่