svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ต่างประเทศ

ระบบขนส่งมวลชนในเวียงจันทน์

สวัสดีอาเซียนตลอดทั้งสัปดาห์นี้จะนำเสนอรายงานพิเศษเกี่ยวกับการขนส่งสาธารณะในประเทศต่างๆ วันนี้เริ่มต้นกันที่ประเทศลาว คุณกิตติดิษฐ์จะพาไปดูว่าที่นครหลวงเวียงจันทน์มีขนส่งมวลชนประเภทใดที่ประชาชนใช้สัญจรกันบ้าง ถ้าอยากรู้ ติดตามได้จากรายงานของคุณกิตติดิษฐ์ ธนดิษฐ์สุวรรณครับ/

รถเมล์ เรือด่วน รถตู้ รถไฟ รถไฟฟ้า รถแท็กซี่ และยานพาหนะอื่นๆ อีกมากมาย คือ การขนส่งสาธารณะในกรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทยที่แสนจะแออัดไปด้วยผู้คนร่วม 10 ล้านคนครับ แต่ถ้าเราลองไปดูประเทศลาวที่มีประชากรทั้งประเทศราว7 ล้านคน และโดยเฉพาะนครหลวงเวียงจันทน์ที่มีประชากรเพียง 7 แสนกว่าคนแล้ว ท่านผู้ชมเองคงอยากจะรู้แล้วใช่ไหมครับว่าระบบขนส่งสาธารณะของเขาจะมียานพาหนะอะไรให้โดยสารกันบ้างครับ
ก่อนอื่นก็ต้องพูดถึงยานพาหนะสำหรับนักท่องเที่ยวแบบท่านผู้ชม รวมถึงแบบผมด้วยครับ ถ้าเป็นเมืองหลวงของประเทศอื่นๆ ก็คงจะใช้รถไฟฟ้า หรือไม่ก็รถแท็กซี่กัน แต่ที่เวียงจันทน์ลืมเรื่องรถไฟไปได้เลยครับ เพราะทั้งประเทศมีแค่ทางรถไฟสายสั้นๆ ที่เชื่อมเข้ามาจากฝั่งจังหวัดหนองคายเท่านั้น และคนส่วนใหญ่ก็นิยมใช้ถนนกันมากกว่า ส่วนรถแท็กซี่ก็หายากมากครับ ดังนั้น นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงนิยมใช้ยานพาหนะสามล้อที่เรียกกันว่า จัมโบ้ มากกว่าครับ
รถจัมโบ้แต่ละคันจะมีวินหรือสถานที่จอดชัดเจนครับ โดยที่ที่พบเห็นได้มากที่สุดก็คือบริเวณตลาดเช้า จุดศูนย์กลางของเมืองครับ ปกติ รถจัมโบ้จะมี 3 แบบด้วยกัน แบบที่เป็นรถสามล้อคล้ายกับรถสกายแล็บทางภาคอีสาน ใช้เครื่องยนต์แบบรถมอเตอร์ไซค์เรียกว่า จัมโบ้ สามารถพบเห็นได้บ่อยที่สุด, อีกแบบหนึ่งเหมือนกับรถตุ๊กๆ ของไทย ใช้เครื่องยนต์แบบรถยนต์ มีเกียร์กระปุก, และอีกแบบจะเป็นคันใหญ่คล้ายกับรถสองแถว ส่วนค่าโดยสาร ทุกแบบจะคิดราคาเท่ากัน เริ่มต้นที่ 5 หมื่นกีบ หรือราว 200 บาท แต่ราคาจริงๆ อาจต่ำกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการต่อรอง
นอกจากรถจัมโบ้แล้ว นักท่องเที่ยวยังมีอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ นั่นก็คือ การจ้างรถตู้รายวันครับโดยส่วนใหญ่จะติดต่อผ่านทางบริษัทการท่องเที่ยว หรือไม่ก็บริษัทที่รับบริการรถตู้ 4-5 บริษัทใหญ่ๆ ครับ ราคาเริ่มต้นที่ 1,400-1,500 บาทต่อวัน นับตั้งแต่เวลา 8 โมงเช้า - 5 โมงเย็น และรวมค่าน้ำมันแล้ว แต่หากอยากจ้างต่อจากนั้น ก็คิดเพิ่มแค่ชั่วโมงละ 150 บาท แต่นี่คือราคาสำหรับการเดินทางภายในตัวเมืองเวียงจันทน์เท่านั้น หากจะไปที่ไกลกว่านี้ อย่างเช่นวังเวียง ก็คิดค่าบริการ 3000 บาทต่อวัน ส่วนหลวงพระบางอยู่ที่ 4000 บาทต่อวันครับ
แต่ส่วนใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวจะใช้จัมโบ้และรถตู้เพื่อโดยสารในตัวเมืองมากกว่านั่งออกไปต่างจังหวัดครับ เพราะราคาแพงและยังปลอดภัยน้อยกว่าเมื่อเทียบกับรถบัสหรือรถตู้สาธารณะ ที่มีราคาแน่นอน มีตารางเวลาชัดเจน และยังเดินทางไปกับคนหมู่มากด้วยครับ
สถานีขนส่งสายเหนือกับใต้จะอยู่ห่างกันพอสมควรครับ สำหรับสายเหนือจะมีเส้นทางไปหลากหลาย ทั้งหลวงพะบาง ลาวบาว ไซยะบุรีของลาว นครคุณหมิงทางตอนใต้ของประเทศจีน กรุงฮานอยของเวียดนาม จังหวัดนครราชสีมาและขอนแก่นของไทยนอกจากนี้ผมยังเจอกับรถทัวร์ของบริษัท บขส. ที่เดินทางไปกลับระหว่างเวียงจันทน์และกรุงเทพฯด้วยครับ ส่วนสายใต้ก็จะมีสะหวันนะเขต ปากเซ อัตตะปือของลาว และโฮจิมินห์ซิตี้ของเวียดนามครับ
ขณะที่ยานพาหนะก็มีทั้งรถทัวร์แบบร้อน แบบมีแอร์ และรถตู้ ส่วนราคาค่าโดยสารก็ขึ้นอยู่กับระยะทางครับ อย่างเส้นทางไปถึงนครคุณหมิงอยู่ที่ 635,000 กีบ หรือราว 2,500 บาท ไปหลวงพะบางอยู่ที่ 130,000 กีบ หรือราว 500 บาท ส่วนเส้นทางที่มาไทย ได้แก่ ขอนแก่น 50,000 กีบหรือ 200 บาท นครราชสีมา 149,000 กีบ หรือ 600 บาทและกรุงเทพมหานคร 248,000 กีบหรือราว 1,000บาทครับ
หากตรวจสอบเส้นทางและราคาเรียบร้อยแล้ว เราก็เพียงไปซื้อตั๋วโดยสารที่ บ่อนขายปี้ หรือช่องขายตั๋ว เพียงเท่านี้ก็สามารถขึ้นรถและรอเดินทางได้เลยครับ แต่ถ้ายังพอมีเวลาเหลือ ในบริเวณสถานีขนส่งก็ยังมีร้านขายของกิน ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ไปจนถึงแผงขายล็อตเตอรี่ให้เราได้ซื้อหากันระหว่างรอเวลาได้ครับ
และสุดท้ายนี้ ผมต้องขอนำเสนอยานพาหนะใหม่ล่าสุดที่ชาวลาวพึ่งได้ใช้กันเมื่อ 2 ปีที่แล้วนี่เอง นั่นก็คือ รถเมล์ปรับอากาศ คันสีเขียว-ขาว แบบที่ท่านผู้ชมเห็นอยู่นี่แหละครับ
ถ้าท่านผู้ชมสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่าทั้งด้านหน้าและด้านข้างของตัวรถมีรูปธงชาติของประเทศญี่ปุ่นติดอยู่ครับ ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจากรถเมล์มากมายหลายสิบคันนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเงินบริจาคจากรัฐบาลญี่ปุ่นครับ แต่จริงๆ แล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัฐบาลญี่ปุ่นบริจาครถบัสให้กับลาวนะครับ เพราะญี่ปุ่นทำแบบนี้มาตั้งแต่ปี 2540 แล้ว แต่เห็นว่ารถที่เคยบริจาคไปเริ่มเก่าและทรุดโทรมแล้ว เลยตัดสินใจบริจาคให้ใหม่ นับเป็นรอบที่ 3 แล้วครับ ดังนั้น นอกจากรถเมล์สีเขียว-ขาวคันใหม่แล้ว มองไปรอบๆ เราก็จะยังพอเห็นรถเมล์ร้อนคันโทรมๆ อยู่บ้าง แต่ถือว่าน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับรถเมล์รุ่นใหม่ครับ
รถเมล์ที่นี่มีการจัดระบบกันตามสายเป็นตัวเลขเหมือนกับในกรุงเทพฯครับ โดยจะมีป้ายแยกออกจากกันชัดเจน และจะให้รายละเอียดด้วยว่าสายนี้วิ่งไปถึงที่ไหน ผ่านบริเวณป้ายไหนบ้าง ไปแต่ละป้ายจะใช้เวลากี่นาที และจะเดินทางถึงกี่โมงครับ แต่ข้อเสียของที่นี่ก็คือแต่ละป้ายอยู่ห่างกันมาก ไม่ถี่เหมือนในกรุงเทพฯ ดังนั้น กว่ารถเมล์จะผ่านป้ายมาสักคันก็นานพอสมควรเลยล่ะครับ
ส่วนราคาค่าโดยสารของรถเมล์คิดแบบราคาเดียวตลอดสายที่ 3000-5000 กีบ หรือว่าราวๆ 10-20บาทครับ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับในกรุงเทพฯ ก็ถือว่าพอๆ กันเลยครับ
โดยรวมแล้วระบบขนส่งมวลชนในประเทศลาวยังถือว่าล้าหลังเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ครับ เพราะส่วนใหญ่ยังสัญจรกันทางถนนเพียงอย่างเดียว ซึ่งหากในอนาคตเมืองมีการเจริญเติบโตมากขึ้น อาจจะเกิดปัญหาการจราจรติดขัดได้ นอกจากนี้สภาพของถนนหลายสายของเมืองยังชำรุดทรุดโทรม เต็มไปด้วยหลุมบ่อด้วยครับ ดังนั้น ลาวคงต้องรีบพัฒนาระบบขนส่งและคมนาคมให้มากกว่านี้ครับ เพราะหลังจากที่ลาวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปลายปีหน้าแล้ว การค้าและการลงทุนต่างๆ จะถาโถมเข้ามามากกว่าปัจจุบันอีกหลายเท่าตัว และนับเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่ลาวไม่ควรมองข้ามครับ