
น.ส.ตรีดาว อภัยวงศ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) และโฆษกกทม. กล่าวถึงเหตุแผ่นดินไหวที่จ.เชียงราย โดยมีแรงสั่นสะเทือนถึงอาคารสูงในกรุงเทพฯ ว่า กองควบคุมอาคาร สำนักการโยธา กทม.ได้เฝ้าระวังเหตุและติดตามรวบรวมข้อมูลอาคารในกรุงเทพฯ โดยได้รวบรวมบัญชีอาคารที่มักได้รับรู้ถึงแรงแผ่นดินไหว จำนวน 70 อาคาร ซึ่งอาคารเหล่านี้มักได้รับผลกระทบ อาทิ อาคารมีการสั่นไหว ผู้ที่อยู่ในอาคารรับรู้ถึงการโยกตัวของอาคาร เป็นต้น โดยจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 5 พ.ค. เวลา 18.08 น. ที่อ.พาน จ.เชียงรายนั้น อาคารตามบัญชีทั้ง 70 อาคาร ไม่ได้รับผลกระทบจากแรงแผ่นดินไหวกับตัวอาคารแต่อย่างใด "อาคารตามบัญชีที่ต้องตรวจสอบกรณีเกิดแผ่นดินไหว ไม่ใช่อาคารที่มีความเสี่ยงเพียงเป็นกลุ่มอาคารที่มีความสูง ที่มีการรับรู้ได้ถึงแรงจากแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น จึงขึ้นเป็นบัญชีที่จะเป็นกลุ่มของอาคารที่จะเข้าไปตรวจสอบ ไม่ได้มีความเสี่ยงต่อการที่จะเสียหาย แต่กรณีตรวจสอบพบอาคารที่มีความเสียหาย ทางกองควบคุมอาคารจะประสานหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญ อาทิ สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย(วสท.) ร่วมเข้าตรวจสอบอย่างเร่งด่วน"น.ส.ตรีดาว กล่าว น.ส.ตรีดาว กล่าวอีกว่า กทม.ได้มีมาตรการรับมือแผ่นดินไหวในกรุงเทพฯ ประกอบด้วย 1.อาคารที่ก่อสร้างหลังปี พ.ศ. 2550 ทางด้านกฎหมายควบคุมอาคาร ได้แก่ กฎกระทรวง กำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคาร และพื้นดินที่รองรับอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว พ.ศ. 2550 บังคับใช้เมื่อวันที่ 30 พ.ย.2550 โดยกฎกระทรวงฉบับนี้ได้ปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงเดิม คือ กฎกระทรวงฉบับที่ 49 พ.ศ. 2540 เพื่อให้อาคารสามารถต้านทานแรงจากแผ่นดินไหวได้ตามมาตรฐานสากล ซึ่งใช้บังคับอาคารดังต่อไปนี้ 1.อาคารที่จำเป็นต่อความเป็นอยู่ของสาธารณชน อาทิ สถานพยาบาล สถานีดับเพลิง อาคารศูนย์บรรเทาสาธารณภัย อาคารศูนย์สื่อสาร ท่าอากาศยาน โรงไฟฟ้า โรงประปา น.ส.ตรีดาว กล่าวอีกว่า 2.อาคารเก็บวัตถุอันตราย อาทิ วัตถุระเบิด วัตถุไวไฟ วัตถุมีพิษ วัตถุกัมมันตรังสี หรือวัตถุที่ระเบิดได้ 3.อาคารสาธารณะ อาทิ โรงมหรสพ หอประชุม สนามกีฬา อัฒจันทร์ ตลาด ห้างสรรพสินค้า โรงแรม 4.สถานศึกษา 5.สถานรับเลี้ยงเด็ก 6.อาคารที่มีผู้ใช้อาคารได้ตั้งแต่ 5,000 คนขึ้นไป 7.อาคารที่มีความสูงตั้งแต่ 15 เมตรขึ้นไป 8.สะพานหรือทางยกระดับ 9.เขื่อนเก็บกักน้ำที่มีความสูงตั้งแต่ 10 ขึ้นไป ทั้งนี้ อาคารที่ก่อสร้างก่อนปี พ.ศ. 2550 อาคารจะต้องมีการออกแบบให้สามารถรองรับแรงลม ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2527 และแรงจากแผ่นดินไหวตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 49 พ.ศ.2540 ทำให้อาคารยังมีความแข็งแรงเพียงพอที่จะรองรับแรงแผ่นดินไหวได้ ด้านพ.ต.อ.พิชัย เกรียงวัฒนศิริ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. กล่าวว่า กรณีที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวที่ จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 5 พ.ค. ให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือหากเกิดแผ่นไหวดังนี้ หมอบลงกับพื้น หลีกเลี่ยงบริเวณใกล้หน้าต่าง หรือบริเวณที่มีสิ่งของแขวนไว้ตามฝาผนังและหลบใต้โต๊ะหรือมุมห้อง ป้องกันตนเองโดยใช้แขนปกป้องศีรษะและคอ รอจนความสั่นไหวยุติลงหรือปลอดภัยแล้วจึงออกไปสู่จุดที่ปลอดภัย ตั้งสติ อยู่ห่างจากบริเวณที่มีวัตถุหล่นใส่ ถ้าอยู่ในที่โล่งแจ้งให้อยู่ห่างจากป้ายโฆษณา เสาไฟ อาคาร และต้นไม้ใหญ่ ระวังเศษอิฐกระจกแตกและชิ้นส่วนอาคารหล่นใส่ สำหรับผู้ที่อยู่ในอาคารสูง ถ้าอาคารมั่นคงแข็งแรงให้อยู่ในอาคารนั้น ถ้าอาคารเก่าและไม่มั่นคง ให้รีบออกจากอาคารนั้นให้เร็วที่สุด พ.ต.อ.พิชัย กล่าวว่า หลังการสั่นสะเทือนสิ้นสุดให้รีบออกจากอาคาร ถ้าไม่อยู่ใกล้ทางออกให้หมอบป้องเกาะจนกว่าจะมีผู้เข้าไปช่วยเหลือ ถ้าอยู่ใกล้ทางออกให้ออกจากอาคารโดยเร็วอย่าแย่งกันจนเกิดความชุลมน หลังจากเกิดแผ่นดินไหว ปฐมพยาบาลขั้นต้นให้ผู้ได้รับบาดเจ็บก่อนรีบออกจากอาคารที่เสียหายทันที ให้ตรวจสายไฟ ท่อน้ำ ท่อแก๊ส ถ้าแก๊สรั่วให้ปิดวาวล์ถังแก๊ส ยกสะพานไฟ อย่าจุดไม้ขีดไฟหรือก่อไฟ ตรวจสอบแก๊สรั่วด้วยการดมกลิ่นเท่านั้น ถ้าได้กลิ่นแก๊สให้รีบเปิดประตูหน้าต่างทุกบ้านออกจากบริเวณที่สายไฟขาดหรือสายไฟพาดถึง เปิดวิทยุฟังคำแนะนำฉุกเฉิน ใช้โทรศัพท์เมื่อจำเป็นจริง ๆ สำรวจความเสียหายของท่อส้วมและท่อน้ำทิ้งก่อนใช้ อย่าเป็นไทยมุงเข้าไปในเขตที่เสียหายหรือปรักหักพัง อย่าแพร่ข่าวลือ เป็นต้น