นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศ.ดร.สุรชัย ศิริไกร กล่าวถึงกระแสวิจารณ์การจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีน ลำที่ 2-3 ว่า จริงๆ แล้วคนที่วิจารณ์ต้องเข้าใจเรื่องศักยภาพของกองทัพ และศักยภาพทางทหารด้วย โดยโครงการการจัดซื้อเรือดำน้ำครั้งนี้มีปัจจัยความสำคัญอยู่ 5 ประการด้วยกัน คือ
1. ทำให้เกิดอำนาจในการป้องปรามผู้รุกราน 2. ทำให้กำลังพลมีขวัญกำลังใจที่ดี เพราะมีอาวุธที่ทันสมัย 3. ทำให้กองทัพและกำลังพลได้เรียนรู้เทคโนโลยีต่างๆ ที่ทันสมัย ส่งผลให้กองทัพไม่ล้าหลัง
4. ทำให้ได้เรียนรู้จุดอ่อนจุดแข็งของต่างประเทศ เกี่ยวกับยุทธวิธีทางทะเล โดยในอดีตไทยเคยมีเรือดำน้ำ 4 ลำในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 และหลังจากนั้นไม่มีเลย ทำให้กองทัพเรือไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าประเทศต่างๆ พัฒนาไปถึงโลกพระจันทร์แล้ว ฉะนั้นการซื้อเรือดำน้ำมาจะทำให้รู้ทั้งจุดอ่อน จุดแข็ง การตั้งรับ การตอบโต้ และเตรียมความพร้อมเพื่อรับสถานการณ์ทางความมั่นคงทางทะเล และ 5. เกิดความสมพันธ์ระหว่างประเทศที่ดี โดยเฉพาะกับจีน
ศ.ดร.สุรชัย ยังบอกอีกว่า ขณะนี้สหรัฐดำเนินนโยบายต่อต้านจีนอย่างเปิดเผย และกดดันประเทศในแถบนี้ให้ร่วมต่อต้านจีน ฉะนั้นไทยต้องระวังให้มาก เพราะไทยมีนโยบายเป็นกลางมาตลอด ไม่สามารถพึ่งพิงโอนเอียงประเทศใดประเทศหนึ่ง 100% ได้ ฉะนั้นการซื้ออาวุธตจากจีนจะทำให้มีความสัมพันธ์จากจีนเพิ่มขึ้นอีกด้านหนึ่ง เพื่อถ่วงดุลกับด้านอื่นๆ มที่เรามีอยู่แล้ว
"ถ้าเราไม่มีเรือดำน้ำเลย ก็ต้องคิดถึงผลที่จะเกิดขึ้นด้วย เพราะเราจะไม่รู้จุดอ่อนจุดแข็งของเรือดำน้ำ จะตั้งรับหรือตอบโต้ก็ทำได้ยาก เพราะเพื่อนบ้านอาเซียนมีหมดทุกประเทศ แล้วนับประสาอะไรที่จะไปตั้งรับเรือดำน้ำของประเทศมหาอำนาจ ฉะนั้นอย่างน้อยเราก็ควรมีเรือดำน้ำ" นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สรุป
ส่วนข้อถกเถียงเรื่องงบประมาณและภาวะเศรษฐกิจนั้น ศ.ดร.สุรชัย บอกว่า ก็น่าจะขอผ่อนผันไปก่อนได้ ก็เป็นเรื่องที่ต้องหารือและเจรจากับจีน ขอบอกว่าไทยกับจีนยังเจรจากันได้ง่าย เพราะในอดีตเราเคยมีสัมพันธ์หลายๆ ด้าน และต้องรักษาความสัมพันธ์กับมหาอำนาจในภูมิภาคนี้