ผู้ใช้ใบกระท่อมส่วนใหญ่ จะเคี้ยวเพื่อทำงานจนกลายเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่น เห็นได้จากถาดกระท่อมตามบ้านที่นำมาไว้รับแขก
สถานะของพืชกระท่อมปัจจุบันจัดอยู่ในบัญชียาเสพติดให้โทษประเภท 5 เช่นเดียวกับฝิ่น และเห็ดขี้ควายหรือเห็ดเมา ทำให้พืชกระท่อมยังคงเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
ข้อโต้แย้งในการกำหนดพืชใบกระท่อมเป็นยาเสพติดมีมาอย่างยาวนานโดยเฉพาะด้านสรรพคุณทางยา และไม่ทำให้ผู้เสพเกิดการเสพติดขั้นรุนแรงและคลุ้มคลั่งเหมือนยาเสพติดประเภทอื่น รวมทั้งไม่ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคม
เหนืออื่นใด การกำหนดให้พืชกระท่อม อยู่ในบัญชียาเสพติดประเภท 5ภายใต้ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษปี 2522 มีผลทำให้ผู้ฝ่าฝืน ไม่ว่าจะเป็นการปลูกจำหน่าย นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครอง ถูกลงโทษทั้งจำทั้งปรับกลายเป็นปัญหาต่อกระบวนการยุติธรรมทางอาญาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ปี 2562มีรายงานสถิติคดีผู้ถูกจับกุมคดีครอบครองพืชกระท่อมมากถึง 60,000 คดีคิดเป็นความเสียหายจากคดีมากถึง 1,800 ล้านบาทต่อปีทำให้ภาครัฐต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายทางคดีให้กับคำรวจ อัยการ และศาล สูงถึงคดีละ30,000 บาท
นั่นหมายความว่า หากกระท่อมไม่เป็นยาเสพติดรัฐจะประหยัดงบประมาณในส่วนนี้ไปได้อย่างมหาศาล นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่นำมาสู่การเสนอปลดล็อกพืชกระท่อม
ในที่สุด 13ธันวาคม 2562 รมว.ยุติธรรม สั่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาแนวทางปลดล็อกพืชกระท่อมมีปลัดกระทรวงยุติธรรมนั่งเป็นประธาน พร้อมคณะกรรมการ ประกอบด้วย เลขาธิการ ป.ป.ส.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ภารกิจหลักของกรรมการชุดนี้ คือรวบรวมข้อมูลผลดีผลเสีย ความเป็นไปได้ และศึกษาข้อกฎหมายที่ใช้ควบคุมเพื่อเป็นแนวทางปลดล็อกพืชกระท่อม
ผลการประชาพิจารณ์ ร่างพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ผ่านเวทีประชาพิจารณ์และเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ95 เห็นด้วยกับการยกเลิกพืชกระท่อม ออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษ แต่ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับการนำใบกระท่อมไปเป็นส่วนผสมของเครื่องดื่มชูกำลังรูปแบบต่างๆเสี่ยงต่อการเสพติด กลายเป็นการมอมเมาประชาชน
เมื่อผลการประชาพิจารณ์ผ่านฉลุย คณะกรรมการศึกษาแนวทางปลดล็อกพืชกระท่อมนำร่างพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ เสนอต่อสำนักงานป.ป.ส. กระทั่งเข้าสู่ครม. เมื่อวันที่3 มี.ค.ที่ผ่านมา ขั้นตอนต่อไปคือส่งคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา ก่อนนำกลับเข้าครม.อีกครั้งเพื่อเสนอเข้าสภาตามขั้นตอนต่อไปคาดว่าสภาจะพิจารณาแล้วเสร็จในช่วงกลางปีนี้