คดีเกาะปอดะ ทั้งฝ่ายอุทยานฯ และเอกชน สู้กันมาถึงยกสุดท้ายแล้วครับและเมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา กรมอุทยานฯ ยื่นข้อต่อสู้ในชั้นฎีกาที่ผ่านมา2 ศาล ต่างฝ่ายต่างผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะคนละศาล เราจะย้อนไปดูกันครับว่ามหากาพย์คดีเกาะปอดะ เกิดขึ้นได้อย่างไร ไปติดตามกับทีมข่าวชั่วโมงสืบสวน
ในคดีแรก "นายชวน"อ้างน.ส.๓ ก. ซึ่งออกจาก ส.ค.๑ เลขที่ ๒ ผลคดีนี้ สิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2554โดยศาลฎีกา พิพากษา ให้ "นายชวน"เป็นฝ่ายแพ้คดี และสั่งเพิกถอน น.ส.๓ ก. โดยคืนส.ค.๑ เลขที่ ๒ ให้ "นายชวน"
แต่ "นายชวน"ไม่ยอมแพ้ยื่นฟ้องกรมอุทยานฯ เป็นคดีที่สอง คราวนี้อ้างสิทธิครอบครองส.ค.๑ เลขที่ ๑ซึ่งอยู่ติดส.ค.๑ เลขที่ ๒
ผลของคดี ศาลขั้นต้น พิพากษาให้ "นายชวน"ชนะ แต่ 16 สิงหาคม 2561ศาลอุทธรณ์ให้กรมอุทยานฯ ชนะ
ทว่าในทางคดียังไม่ถือว่า "คดีถึงที่สุด"นายชวนสู้ถึงฎีกา ขณะที่อัยการคดีศาลสูง เพิ่งจะยื่นฎีกา เมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา วันสุดท้ายที่ขอขยายฎีกา
หลักฐานชิ้นแรกส.ค.๑ เลขที่ ๒ ซึ่งนายชวน ซื้อต่อมาจาก นายม่าโหรบ ชำนินา ซึ่งนำไปออกน.ส. ๓ ก และศาลฎีกาสั่งเพิกถอน น.ส. ๓ ก.
แต่ "นายชวน" ยังมีส.ค.๑ เลขที่ ๑ บนเกาะปอดะ ซื้อมาจากนายดอแล้ หง้าฝาด ชาวบ้านที่ทำกินบนเกาะปอดะ"นายชวน" บอกว่าไม่ใช้ "นายทุน รุกป่า" อย่างที่คนทั่วไปกล่าวหา
หลักฐานชิ้นที่สอง "ภาพถ่ายทางอากาศปี2510"โดยปีนั้น มีการบินถ่ายภาพบริเวณเกาะปอดะถึง 3ครั้ง แต่ละครั้งผลอ่านแปลภาพจากผู้เชี่ยวชาญ "แตกต่าง" กันนายชวน จึงเชื่อว่ามีชาวบ้านทำกินบนเกาะมาก่อนประกาศเขตพื้นที่อุทยานฯ
หลักฐานชิ้นสุดท้าย"อายุมะพร้าว" การนับอายุก็แตกต่างกัน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมะพร้าวจากม.พะเยา พยานฝ่ายนายชวนระบุว่า บางต้นปลูกมากก่อนปี 2510 หรือมากกว่า 65 ปี