ใครแกล้งใครยังไม่รู้ แต่ว่าศัตรูตัวฉกาจที่กลุ่มสามมิตรเปิดชื่อขึ้นมาเมื่อวาน จริงๆ แล้วก็มีกำเนิดจากสายธารเดียวกัน
ก่อนอื่นเรามารู้จักกลุ่มสามมิตรกันก่อน...
"กลุ่มสามมิตร" เกิดจากการรวมตัวกันของนักการเมืองรุ่นเก๋า 3 คนที่เป็นเพื่อนสนิทและเคยร่วมงานกันมาตั้งแต่ยุค คุณทักษิณ ชินวัตร ยังเรืองอำนาจ แถมทั้ง 3 คนยังมีชื่อขึ้นต้นด้วยตัว ส.เสือ เหมือนกันด้วย
หนึ่งคือ ส.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ของรัฐบาล คสช. แถมยังมีข่าวว่าจะสืบทอดตำแหน่งต่อไปในรัฐบาลประยุทธ์ 2 ด้วย โดยคุณสมคิดคืออดีตขุนพลเศรษฐกิจในช่วงต้นๆ ของรัฐบาลไทยรักไทยที่มีคุณทักษิณเป็นนายกฯ
สองคือ ส.สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ หลายคนอาจจะลืมไปแล้วว่าคุณสุริยะเคยเป็นเลขาธิการพรรคไทยรักไทย เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ก่อนจะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง และเก็บตัวเงียบอยู่เบื้องหลังมาตลอดจากปัญหาสุขภาพ ก่อนจะมาเปิดหน้าเปิดตัวกับกลุ่มสามมิตร
และสาม ส.สมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มวังน้ำยมในพรรคไทยรักไทย มี ส.ส.ในมุ้งหลายสิบคน เขตอิทธิพลอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและอีสานบางส่วน หลังพรรคไทยรักไทยถูกยุบ ก็ตั้งกลุ่มมัชฌิมา ก่อนจะพัฒนาเป็นพรรคมัชฌิมาธิปไตย และถูกยุบอีกรอบ
ทั้งสามจับมือกันตั้ง "กลุ่มสามมิตร" ที่มีนัยยะหมายถึงเพื่อนสนิท 3 คนบนถนนการเมือง และคำว่า "สามมิตร" ยังมีความหมายพิเศษกับคุณสุริยะด้วย เพราะเป็นชื่อธุรกิจดั้งเดิมของตระกูล ก่อนจะสยายปีกเป็นกลุ่ม "ซัมมิท" และ "ไทยซัมมิท" จนถึงทุกวันนี้
ทั้ง 3 ส.แบ่งงานกันทำ เริ่มจาก ส.สมคิด ซึ่งอยู่ในรัฐบาล คสช.อยู่แล้ว ก็ฟอร์มทีมตั้งพรรคพลังประชารัฐ หยิบยืมชื่อมาจากนโยบาย "ประชารัฐ" ซึ่งเป็นนโยบายที่เด่นที่สุดของรัฐบาล แล้วดึง 4 รัฐมนตรีที่ทำงานร่วมกัน ซึ่งเป็นสายตรงของตนเอง เดินงานจัดตั้งพรรคการเมือง ประกอบด้วย คุณอุตตม สาวนายน , คุณสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ , คุณสุวิทย์ เมษินทรีย์ และคุณกอบศักดิ์ ภูตระกูล ซึ่งภายหลังถูกขนานนามว่า "กลุ่ม 4 กุมาร"
ส่วนอีก 2 ส. คือ ส.สุริยะ กับ ส.สมศักดิ์ เดินสายรวบรวมอดีต ส.ส.เพื่อไทยและไทยรักไทยเดิมในพื้นที่ต่างๆ เน้นภาคเหนือกับอีสาน มาเข้าพรรคพลังประชารัฐ (เรียกว่าตกปลาในบ่อเพื่อไทย) รู้จักกันดีในชื่อปฏิบัติการ "พลังดูด" จุดเริ่มต้นอยู่ที่บ้านของ คุณปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ที่จังหวัดเลย ปฏิบัติการ "พลังดูด" รวบรวมอดีต ส.ส.ได้ถึง 70 คนในวันเปิดตัวพรรคพลังประชารัฐอย่างเป็นทางการ โดยมีกลุ่ม 4 กุมาร เป็นแกนนำสำคัญของพรรค และมี ส.สมคิด อยู่หลังฉาก
นี่คือเส้นทางของ "กลุ่มสามมิตร" ในฐานะมุ้งใหญ่ที่สุดของพรรคพลังประชารัฐ
แต่อิทธิพลของ "กลุ่มสามมิตร" ก็ลดลงพอสมควร เพราะผลงานการพา ส.ส.เข้าสภา ปรากฏว่าได้ต่ำกว่าเป้าถึงครึ่งหนึ่ง หนำซ้ำยังถูกลูบคมว่า ส.ส.ส่วนหนึ่งที่เข้าสภามาได้ เป็นเพราะพลังของกลุ่มการเมืองอื่นช่วยชีวิตเอาไว้
ที่ผ่านมา ส.ส.ใน "มุ้งสามมิตร" ถูกตั้งคำถามมาตลอดว่ามีเท่าไหร่แน่ เพราะถ้าถามแกนนำสามมิตรเองก็บอกว่า 30 กว่า แถมยังมีข่าวพิมพ์ชื่อไปให้นายกฯดู เพื่อขอโควต้ารัฐมนตรี "2 ว่าการ 2 ช่วย" เสียด้วย ขณะที่ข่าวจากกลุ่มการเมืองอื่นบอกว่า "สามมิตร" ใช้วิธี "ตกปลาจากบ่อเพื่อน" ทำให้ได้ชื่อ ส.ส.กว่า 30 คน ทั้งที่จริงๆ มีแค่สิบกว่าคน บางกระแสว่า "ต่ำสิบ" ด้วยซ้ำไป
แต่หากย้อนดูการรวมตัวแถลงข่าวไล่เลขาธิการพรรค คุณสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เมื่อวาน เพราะไม่พอใจที่ถูกสลับเก้าอี้รัฐมนตรีพลังงานไปเป็นอุตสาหกรรม ก็จะเห็น ส.ส.สามมิตร เต็มห้องประชุมอยู่เหมือนกัน ยืนยันเพาเวอร์ในการต่อรอง เพื่อวัดใจนายกฯว่าจะเลือกใคร ระหว่าง "สามมิตร" กับ "สี่กุมาร" ทั้งๆ ที่ต้นธารของ 2 กลุ่มนี้ก็มาจากแหล่งเดียวกัน
จังหวะก้าวการเมืองของกลุ่มสามมิตรนับจากนี้ หลังจากยอมแถลงจบปัญหาร่วมกับหัวหน้าพรรค คุณอุตตม สาวนายน ยังมีแนวโน้มเป็นไปได้ 3 ทาง เพราะกูรูการเมืองเชื่อว่างานนี้ไม่จบง่ายแน่
1. กลืนเลือดร่วมรัฐบาลต่อไป แล้วรอจังหวะยุบสภาเลือกตั้งใหม่ เพื่อหาชายคาใหม่ หรือสร้างบ้านเอง เพื่อรอเป็นตัวแปรร่วมรัฐบาลชุดหน้า
2. เก็บความแค้นไว้ในอก แล้วร่วมรัฐบาลต่อ เพื่อรอจังหวะฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ (ซึ่ง 4 กุมารอยู่ในคิวถูกซักฟอก) แล้วตลบหลังยกมือให้ฝ่ายค้าน หรืองดออกเสียง
สองแนวทางนี้ดูจะสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด
หรือ 3. เก็บข้าวของออกจากพรรคไปตอนนี้เลย แต่แนวทางนี้เป็นไปได้น้อยที่สุด เพราะอย่างไรเสีย ในระยะสั้น นายกฯก็ยังต้องชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา เนื่องจากมีเงื่อนไข 376 เสียงถึงจะได้เป็นนายกฯ ทำให้ต้องใช้ "ส.ว.รอโหวต"
จะเห็นได้ว่าทั้งสามแนวทาง ล้วนเป็นเงื่อนไขให้รัฐบาลอายุสั้นทั้งสิ้น