นี่คือข้อความแจ้งเตือนประชาสัมพันธ์ที่อ้างถึง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ขอให้ผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส รวมถึง 4 อำเภอรอยต่อของจังหวัดสงขลา คือ อำเภอจะนะ เทพา สะบ้าย้อย และนาทวี นำ "ซิมการ์ดมือถือ" ไปลงทะเบียนใหม่ ด้วยระบบตรวจสอบใบหน้าและอัตลักษณ์ ภายในวันที่ 31 ตุลาคมนี้
ข้อความประชาสัมพันธ์ยังระบุให้ผู้ใช้บริการมือถือ เช็คสถานะซิมได้ โดยกดหมายเลข *165*5* ตามด้วยเลขบัตรประจำตัวประชาชน และ # (เครื่องหมายสี่เหลี่ยม) แล้วโทรออก ทั้งยังสามารถกดฟังข้อมูลเป็นภาษายาวีได้อีกด้วย พร้อมกับย้ำว่า หากไม่ดำเนินการภายในวันที่กำหนด ซึ่งก็คือ 31 ตุลาคมนี้ หรือราวๆ 4 เดือนเศษ โทรศัพท์จะใช้การไม่ได้
หลังจากข้อความนี้เผยแพร่ออกไป ทำให้เกิดกระแสตื่นตัวในพื้นที่ชายแดนใต้ โดยผู้ที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน และพรรคการเมืองบางพรรคที่มีฐานเสียงในพื้นที่ ได้ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย และมีการรณรงค์ในเว็บ change.org รวมพลังคน 3 จังหวัด ไม่จดทะเบียนซิม ไม่สแกนใบหน้า ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน และล่วงเลยไปถึง "ไม่เป็นทาสเผด็จการ"
จะเห็นได้ว่ากระแสคัดค้าน มีการใช้คำว่า "สแกนใบหน้า" รวมทั้ง "พิสูจน์อัตลักษณ์" ซึ่งไม่ใช่ถ้อยคำที่ประชาสัมพันธ์จาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่แจ้งให้ประชาชนผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือไปลงทะเบียนซิมการ์ด
พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ เป็นหนึ่งในผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ โดยบอกว่า พรรคประชาชาติสนับสนุนให้แก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยหลักนิติธรรม สนับสนุนให้หน่วยงานด้านความมั่นคงบูรณาการทำงานร่วมกับภาคประชาชนเพื่อความสงบสุขของพื้นที่ โดยปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุด บุคคลทุกคนต้องได้รับการคุ้มครอง และถูกบังคับใช้กฏหมายอย่างเสมอภาค
พันตำรวจเอก ทวี บอกว่า กรณีการบังคับลงทะเบียนซิมโทรศัพท์และพิสูจน์อัตลักษณ์นั้น มีประเด็นน่าจะขัดรัฐธรรมนูญ ในหมวดสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย มาตรา 26 การจํากัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลจะกระทำไม่ได้ เว้นแต่เป็นไปตามเงื่อนไขที่บทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และมาตรา 36 รับรองเสรีภาพในการติดต่อสื่อสารระหว่างกันของประชาชน การกระทําด้วยประการใดๆ เพื่อให้ล่วงรู้หรือได้มาซึ่งข้อมูลที่บุคคลสื่อสารถึงกันจะกระทํามิได้ เว้นแต่มีคําสั่งหรือหมายของศาล หรือมีเหตุอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ
ส่วนที่มีการอ้างระเบียบสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช.นั้น ระเบียบนี้ไม่ใช่กฎหมาย และมีศักดิ์ต่ำกว่ากฎหมาย รวมถึงรัฐธรรมนูญ
ฉะนั้นถ้า กอ.รมน.หรือรัฐบาลมีความจำเป็นตรวจสอบใบหน้าและอัตลักษณ์จากซิมมือถือ รัฐบาลต้องบัญญัติเป็นฏหมาย โดยให้รัฐสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งประกอบด้วย ส.ส.จำนวน 500 คน และ ส.ว.จำนวน 250 คน ได้ร่วมกันพิจารณาเป็นกฏหมายตามรัฐธรรมนูญต่อไป นอกจากนั้น พรรคประชาชาติยังได้ตั้งคณะทำงานที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ศึกษาเรื่องนี้ และนำเสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
อีกหนึ่งเสียงที่ออกมาตั้งข้อสังเกตเรื่องนี้ คือ คุณอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือ กสม. โดยคุณอังคณา ได้โพสต์เฟซบุ๊คระบุว่า เป็นคนหนึ่งในหลายๆ คนที่ทำงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และได้รับข้อความจากผู้ใช้นามว่า #ISOC4 หรือ กอ.รมน.ภาค4 เรื่องขอให้ผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ลงทะเบียนซิมการ์ดด้วยระบบตรวจสอบใบหน้าและอัตลักษณ์ ภายในวันที่ 31 ตุลาคม
คุณอังคณา ตั้งข้อสังเกตว่า ต้องไม่ลืมว่าประชาชนไม่ได้ติดตามอ่านประกาศในราชกิจจานุกเบกษาทุกคน และที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากเนื่องจากข้อความนี้ส่งมาจากบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในนามของ กอ. รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า โดยไม่มีแถลงการณ์ ประกาศ หรือคำอธิบายอย่างเป็นทางการจากรัฐบาล หรือ กอ. รมน. และไม่มีการแจ้งหรืออธิบายเหตุผลว่าทำไมผู้ใช้บริการโทรศัพท์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้จึงต้องไปลงทะเบียนซิมด้วยระบบตรวจสอบใบหน้าและอัตลักษณ์ เพราะใบหน้าและอัตลักษณ์เป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวพันกับการเข้าถึงข้อมูลอื่นๆ ของบุคคลนั้นๆ
นอกจากนั้น สิ่งสำคัญที่ไม่มีการชี้แจงก็คือ กอ.รมน.ภาค 4 สว่นหน้า และบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์ มีหลักประกันใดในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้ให้เป็นความลับ เพื่อป้องกันมิให้มีการนำข้อมูลนี้ไปใช้โดยไม่สุจริต และมิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ ฉะนั้นแม้รัฐจะมีอำนาจในการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่ก็ต้องกระทำเท่าที่จำเป็น และเพื่อความสงบเรียบร้อยของประเทศชาติ ในขณะที่ประชาชนต่างมีสิทธิในการที่จะได้รับความคุ้มครองในสิทธิและข้อมูลอันเป็นส่วนตัวด้วยเช่นกัน