เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว ทำให้ประชาชนไม่ค่อยอยากขึ้นโรงพัก และมองว่าตำรวจไม่ได้เป็นที่พึ่งของประชาชน อย่างที่บอกคือเรื่องนี้พูดกันมานานในวงเสวนา และวงปฏิรูปตำรวจ แต่ฝ่ายตำรวจเองก็ไม่เคยยอมรับ วันนี้เรามีเสียงจากนายตำรวจคนหนึ่ง ยศไม่น้อย เพราะเป็นถึงระดับ "พันตำรวจเอก" และยังอยู่ในราชการ ออกมายอมรับตรงๆ เลยว่า ปัญหาการไม่รับแจ้งความของตำรวจ หรือที่เรียกกันง่ายๆว่า "เป่าคดี" มีอยู่จริงๆ
ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดพฤติกรรมแบบนี้ ก็เพราะว่าจำนวนพนักงานสอบสวนบนโรงพักมีน้อยมาก ทำให้การทำงานของพนักงานสอบสวนต้องเข้าวนกันไปตลอด 24 ชั่วโมง ตำรวจบางคนก็ยังไม่มีความชำนาญในคดีความบางคดีที่ประชาชนเข้ามาแจ้งความ จึงพยายามไกล่เกลี่ย และไม่ออกเป็นเลขคดีอาญา มิฉะนั้นจะต้องมีการติดตามคดีให้ทันกรอบเวลาที่กำหนดในกฎหมาย นอกจากนั้นยังอาจมีตำรวจบางนายที่ประพฤติตัวนอกลู่นอกทาง ทำตัวเป็นคนกลางขอรับเคลียร์คดีให้กับคู่ขัดแย้ง เพื่อแลกกับ "ค่าน้ำร้อนน้ำชา"
ข้อมูลที่ "ล่าความจริง" ได้รับฟังจากนายตำรวจท่านนี้ สอดคล้องกับอดีตที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการการปฏิรูปตำรวจ สภาปฏิรูปแห่งชาติ พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร ที่บอกว่า ปัจจุบันเวลาประชาชนมีเรื่องเดือดร้อนแล้วไปแจ้งความ ตำรวจมักไม่รับแจ้ง หรือไม่ก็แค่ลงบันทึกประจำวัน แต่ไม่ออกเลขคดีอาญา และไม่ได้ทำคดีจริงๆ เมื่อเวลาผ่านไป คดีก็เงียบหาย หรือบางรายก็รับเคลียร์คดี และยังส่งผล 2 เด้งคือ สถิติอาชญากรรมของโรงพักก็ลด ทำให้ดูมีผลงานด้านการป้องกันอาชญากรรมอีกด้วย แต่ปัญหาที่ตามมาคือ คนที่ขัดแย้งกัน กลั่นแกล้งทำร้ายกัน ยังไม่ถูกดำเนินคดี ยังอยู่ลอยนวลสบาย ทำให้เกิดการตามเช็คบิลกันเอง กลายเป็นอาชญากรรมร้ายแรงตามมา
ปัญหาการเป่าคดี ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับชาวบ้านทั่วไป แต่ลุกลามไปทั่วทุกวงการ ไม่ว่าใครจะเป็นเจ้าทุกข์ก็ตาม อย่างผู้ประกาศข่าวสาวรายนี้ ถูกโชเฟอร์รถแท็กซี่ขโมยโทรศัพท์มือถือที่เธอลืมไว้บนรถ เมื่อเธอไปแจ้งความที่โรงพัก กลับถูกตำรวจบางนายและญาติของผู้ต้องหาพยายามเข้ามาไกล่เกลี่ยให้จบเรื่อง ทั้งๆ ที่คดีลักทรัพย์ยอมความไม่ได้ และความผิดสำเร็จแล้ว เมื่อกระทำผิด ก็ต้องยอมรับโทษตามกฎหมาย ส่วนจะไปขอปราณีลดโทษในชั้นศาล ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งนี่คือภาพสะท้อนการทำงานของตำรวจยุคปัจจุบัน กับปัญหาการบังคับใช้กฎหมายที่ทำให้อาชญากรเต็มบ้าน อาชญากรรมเต็มเมือง