เริ่มจากวันที่ 23 พ.ค.พรรคประชาธิปัตย์จะจัดประชุมร่วมกันระหว่าง ส.ส.กับกรรมการบริหารพรรค ซึ่งมีเสียงรวมกัน 86 เสียง เพื่อกำหนดท่าทีทางการเมืองเรื่องการร่วมรัฐบาลกำหนดเวลาออกมาแล้วเป็นช่วงบ่าย ซึ่งในวันเดียวกันนั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้นัดประชุมเพื่อมีคำสั่งว่าจะรับหรือไม่รับวินิจฉัยกรณีการถือครองหุ้นกิจการสื่อมวลชนของหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ด้วย ซึ่งหากศาลรับเรื่องไว้พิจารณา อาจมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ จนอาจไม่สามารถเข้าประชุมสภาเพื่อโหวตเลือกประธาน รองประธาน และนายกฯ ได้
วันที่ 24 มีรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา จากนั้นจะมีการประชุมวุฒิสภา เพื่อเลือกประธานและรองประธานคนที่ 1 กับคนที่ 2ส่วนแคนดิเดตประธานน่าจะเป็น คุณพรเพชร วิชิตชลชัย ส่วนรองประธานน่าจะเป็น พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร อดีต สนช.เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 12 ของนายกฯ ลุงตู่ กับคุณศุภชัย สมเจริญ อดีตประธาน กกต. ในฐานะตัวแทนกลุ่ม 50 ส.ว.ที่มาจากการคัดเลือกกันเองของกลุ่มอาชีพ และในช่วงค่ำวันเดียวกัน พรรคชาติไทยพัฒนาได้นัดประชุมกรรมการบริหารและ ส.ส.ของพรรค เพื่่อกำหนดท่าทีทางการเมือง
วันเสาร์ที่ 25 มีนัดประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเลือกประธานและรองประธานคนที่ 1 กับคนที่ 2 ซึ่งจะเป็นศึกประลองกำลัง เช็คเสียงรอบแรกว่าขั้วการเมืองไหนครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างขั้วเพื่อไทยกับขั้วพลังประชารัฐ
มีข่าวว่า เพื่อไทยเตรียมส่ง คุณสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เข้าประกวด ส่วนพลังประชารัฐ มีข่าวเสนอชื่อ คุณบัญญัติ บรรทัดฐาน แต่เมื่อวานเจ้าตัวเพิ่งปฏิเสธ ก็ต้องรอดูว่าจะส่งชื่อใครแทน เพราะในพรรคพลังประชารัฐเองก็มีชื่อ คุณสุชาติ ตันเจริญ แกนนำกลุ่มพ่อมดดำ เดินสายขอเสียงสนับสนุนอยู่เมื่อได้ชื่อประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรแล้ว จะมีการนำชื่อขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง เรียบร้อยแล้วจะมีการนัดประชุมรัฐสภา เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี โดยประธานสภาผู้แทนราษฎรจะทำหน้าที่ประธานรัฐสภา มีข่าวว่าอาจมีการประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตนายกฯ ในวันที่ 30-31 พ.ค.
เมื่อได้ตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้ว จะมีการตั้งคณะรัฐมนตรี และนำชื่อรัฐมนตรีใหม่ทั้งหมดขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ก่อนที่คณะรัฐมนตรีใหม่จะเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ ซึ่งคาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะเสร็จสิ้นก่อนวันที่ 20 มิ.ย.เพื่อให้รัฐบาลชุดใหม่เข้ารับงานเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน หรืออาเซียนซัมมิท ซึ่งไทยเป็นประธานอาเซียนด้วยสำหรับรัฐบาล คสช. และการใช้อำนาจตาม ม.44 จะยังมีอำนาจจนถึงวันที่ ครม.ชุดใหม่เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณ จากนั้น คสช.และอำนาจพิเศษต่างๆ จะสิ้นสภาพไปโดยสมบูรณ์