มติของ กกต.กรณีคุณธนาธร เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98(3) ก็คือสมาชิกภาพของ ส.ส.ต้องสิ้นสุดลง หากเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน
สำหรับกระบวนการวินิจฉัยขั้นตอนสุดท้าย เป็นไปตามมาตรา 82 วรรค 4 ของรัฐธรรมนูญ คือเมื่อ กกต.ตรวจพบปัญหาเรื่องสมาชิกภาพ ก็ให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย
ทีนี้ผลที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ การปฏิบัติหน้าที่ของคุณธนาธร โดยเฉพาะการเข้าประชุมสภานัดแรก รวมไปถึงการร่วมโหวตประธานสภา และนายกรัฐมนตรี จะทำได้หรือไม่ เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ระบุว่า "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้รับเรื่องไว้พิจารณาแล้ว หากปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่าสมาชิกผู้ถูกร้อง (กรณีนี้คือคุณธนาธร) มีปัญหาตามที่ถูกร้อง ก็ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน จนว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย"
นี่คือผลที่จะเกิดขึ้นต่อไป หากศาลสั่ง คุณธนาธรก็อาจจะหมดสิทธิ์ร่วมโหวตประธานสภาและนายกฯ
มีดราม่าเกิดขึ้นเล็กน้อย คือ กกต.ออกมติเรื่องนี้ ระหว่างที่คุณธนาธรกำลังแถลงความมั่นใจในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลพอดี โดยประกาศตัวจะเป็นแกนนำเอง และอ้างว่าได้พูดคุยกับพรรคการเมืองต่างๆ แถมยังบอกว่ารวมเสียงได้ขาดเพียง 5 เสียง ซึ่งไม่แน่ชัดว่าเป็นการ "ขาด 5 เสียง" ก็จะเกิน 250 เสียงของสภาผู้แทนราษฎร หรือขาด 5 เสียง ก็จะครบ 376 เสียง เพื่อปิดสวิทช์ ส.ว. ตามที่เคยประกาศไว้
เมื่อมีมติ กกต.ออกมา ก็มีนักข่าวถามคุณธนาธรระหว่างแถลง เรื่องที่ถูก กกต.สอย คุณธนาธร ตอบสั้นๆ ว่า ไม่กังวล และเชื่อมั่นในกระบวนการศาล