เสียงที่ตัดสิน ไม่ใช่เสียงพรรคการเมืองไหน แต่เป็นเสียง ส.ว. 250 คน คุณผู้ชมดูวงจรนี้จะเห็นชัดๆ ว่า ส.ว.ทั้งสภา จะพร้อมใจกันโหวตเลือก "นายกฯลุงตู่" ให้กลับมาเป็นนายกฯแน่นอน เริ่มจาก "นายกฯลุงตู่" ในฐานะหัวหน้า คสช. จัดให้มีคณะกรรมการสรรหา ส.ว. ซึ่งมี "พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ - บิ๊กป้อม" พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน จากนั้น พลเอกประวิตร ก็ส่งรายชื่อ 400 รายชื่อให้ คสช.เคาะเลือกออกมาเป็น 194 คน คงได้เห็นหน้าเห็นตากันไปแล้ว มีทั้งเพื่อนพ้องน้องพี่ของแกนนำ คสช. ผู้ใต้บังคับบัญชา และคนจากองค์กรแม่น้ำ 5 สาย ที่เคยทำงานให้คสช. ทั้ง สปช. สปท. สนช. ครม. และ กรธ. ได้เก้าอี้ ส.ว.กันถ้วนหน้า ที่เหลืออีก 6 คนที่เป็น "โดยตำแหน่ง" คือผู้บัญชาการเหล่าทัพ ก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ คสช. และอีก 50 คนจากกลุ่มอาชีพ คสช.ก็เคาะมาจาก 200 คนที่เลือกกันเองจากทั่วประเทศ ทั้งหมดก็จะทำภารกิจเลือกหัวหน้าคสช. เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป
การโหวตเลือกนายกฯ ใช้เสียง 376 เสียงจากรัฐสภา มาจาก ส.ว.แล้ว 250 ก็ยังขาดอีก 126 เสียง เมื่อพลังประชารัฐ 115 เสียง รวมกับ 11 พรรคเล็ก ปฏิบัติการปิดสวิทช์ ส.ว.จึงจบแล้ว นี่คือความสำคัญของพรรคเล็ก พรรคขนาดจิ๋ว ที่กลายเป็นตัวแปรทางการเมืองไม่แพ้พรรคขนาดกลาง วันนี้เรามาจับเข่าคุยกับ ท่าน พลตรี ทรงกลด ทิพย์รัตน์ หัวหน้าพรรคพลังชาติไทย หนึ่งใน 11 พรรคเล็ก ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังการประกาศจุดยน การต่อรองเงื่อนไขทางการเมือง และอนาคตในฉากต่อไปของรัฐบาล