ปัญหานี้ส่งผลกระทบให้เกิดการ "เปลี่ยนงาน" ของบรรดาลูกจ้างในกระทรวงสาธารณสุขจำนวนมาก ทำให้การทำงานไม่ต่อเนื่อง และไม่มีการพัฒนาต่อยอดทักษะหรือความรับผิดชอบที่มากเพียงพอกับภารกิจสำคัญที่ต้องทำ
ประธานสหพันธ์แบคออฟฟิศ กระทรวงสาธารณสุข คุณชาติชาย เดชรัตน์ ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำเครือข่ายบุคลากรกระทรวงสาธารณสุข 25 องค์กร บอกกับ "ล่าความจริง" ว่า ปัญหาการลาออก เกิดกับลูกจ้างรายวันมากที่สุด เพราะได้รับผลกระทบจากเงินค่าตอบแทนเพียงวันละ 325 บาท ซึ่งไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพของพวกเขา เหตุนี้เองจึงทำให้หลายคนเปลี่่ยนงาน เพราะลาออกไปเป็น รปภ.ตามสถานประกอบการต่างๆ ยังมีรายได้มากกว่า รปภ.สมัยนี้ ค่าจ้างวันละ 500 บาท ถ้าเป็นรายเดือนก็มากถึง 20,000 บาท ขณะที่พนักงานเวรเปลของโรงพยาบาลได้แค่หลักพันต่อเดือน
คุณชาติชาย ยังได้ยกตัวอย่างโรงพยาบาลแห่งหนึ่งย่านปทุมธานี มีลูกจ้างไปถึง 20 กว่าคนในระยะเวลาไม่นาน
ปัญหานี้ไม่ได้เกิดเฉพาะกับลูกจ้างในสายสนับสนุนเท่านั้น แต่กับ "พยาบาล" ผู้รับผิดชอบงานหลักของระบบบริการสาธารณสุข ก็ยังมีปัญหาสมองไหลอย่างรุนแรง
ตัวแทนจากสหภาพพยาบาลแห่งประเทศไทย คุณปุญญิศา วัจฉละอนันท์ บอกว่า แต่ละปีมีพยาบาลลาออกนับร้อยคน เหตุผลที่ทุกคนบอกตรงกันคือ ค่าตอบแทนต่ำ ขาดความมั่นคงในชีวิตและความก้าวหน้า เพราะส่วนใหญ่ไม่ได้บรรจุเป็นข้าราชการ โดยช่วงอายุงานที่มีการลาออกมากที่สุดก็คือ 15 ปี
นี่คือเอกสารที่แสดงให้เห็นว่า โรงพยาบาลเอกชนจ้างพยาบาลในอัตราค่าจ้างที่สูงกว่าโรงพยาบาลของรัฐมาก จะเห็นได้ว่าเงินเดือนได้มากกว่าเดิม 1-2 หมื่นบาท และยังมีสวัสดิการในรูปแบบของที่พัก เครื่องแบบ และเงินโบนัสรายปี หากเป็นพยาบาลที่มีประสบการณ์ 3-5 ปีขึ้นไป จะมีการเสนอเงินพิเศษ หรือที่เรียกว่า "เงินตกเขียว" ให้อีก เช่น ค่าเซ็นสัญญาทำงาน 1 ปี อาจจะได้ 5 หมื่นบาท ญญา 2 ปี ได้ 1 แสนบาท โรงพยาบาลเอกชนบางแห่งมีออพชั่นจับเซ็นสัญญา 3 ปี ให้เงิน 150,000 บาท เพื่อป้องกันไม่ให้โรงพยาบาลอื่นมาดึงตัวไป
สถานการณ์แบบนี้ย่อมหมายถึงว่า โรงพยาบาลของรัฐกลายเป็น "สถานที่ฝึกงาน" ของบรรดาคนทำงานด้านสาธารณสุข เมื่อมีประสบการณ์มากพอ ก็จะถูกดึงตัว หรือซื้อตัวไป แล้วอย่างนี้คุณภาพการบริการจะเต็มร้อยได้อย่างไร เป็นเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายน่าจะเร่งนำไปพิจารณา