ควันหลงกองเชียร์พรรคสีส้ม... ซ้อมชกลมรอรุกฆาต?

เมื่อวาน คุณธนาธร เข้าชี้แจง กกต.ช่วงบ่าย พร้อมกับเลขาธิการพรรค คุณปิยบุตร แสงกนกกุล และทีมกฎหมาย เตรียมเอกสารมา 26 รายการ บรรจุในลัง 1 ลัง หอบกันเข้าไปชี้แจง ขาเข้ายังไม่ค่อยดุเดือดมากนัก แต่ขาออก หลังจากชี้แจง 4 ชั่วโมง คุณธนาธรและคุณปิยบุตร ออกมาให้ประกาศฟ้องกลับ กกต. ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เพราะเชื่อว่าการกล่าวหาเรื่องขาดคุณสมบัติการเป็นผู้สมัคร ส.ส. มาจาก "มูลเหตุจูงใจทางการเมือง" แถมยังจะพ่วงฟ้องสื่อ กับบรรดา "นักร้องเรียน" ที่บิดเบือนข้อมูลใส่ร้ายพรรคอนาคตใหม่และคุณธนาธรด้วย

ควันหลงที่น่าสนใจและน่าหยิบมาวิเคราะห์ต่อ ก็คือบรรยากาศกองเชียร์และผู้สนับสนุน ทีมข่าวของเรารายงานว่า เมื่อวานมีกองเชียร์มาให้กำลังใจคุณธนาธรที่อาคารศูนย์ราชการฯ หลายร้อยคน บรรยากาศคล้ายๆ วันที่คุณธนาธรเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน และวันที่คุณปิยบุตร เข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกคดีหมิ่นศาลที่ บก.ปอท. ในศูนย์ราชการฯเหมือนกัน


ทีมข่าวรายงานว่า กองเชียร์บางส่วนเป็น "แฟนคลับหน้าเดิม" ที่เคยไปให้กำลังใจคุณธนาธร และคุณปิยบุตร ในการพบตำรวจ 2 ครั้งก่อนหน้านี้ เรียกว่าเป็น "แฟนพันธุ์แท้" เลยก็ว่าได้ โดยบรรดาแฟนคลับมีหลากหลายวัย ทั้งคนมีอายุและคนรุ่นใหม่ แต่คนมีอายุดูแล้วมีมากกว่า บางคนเคยเป็นมวลชนคนเสื้อแดงมาก่อน บางส่วนสวมเสื้อสีส้ม สัญลักษณ์พรรคอนาคตใหม่

สำหรับความต่างของกองเชียร์เมื่อวาน เทียบกับ 2 ครั้งก่อนหน้า ก็คือมีว่าที่ ส.ส.และผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค ไปร่วมขบวนหลายสิบคน โดยกลุ่มที่เป็นว่าที่ ส.ส. จะสวมเสื้อยืดสีขาว ที่สกรีนข้อความบนหน้าอกว่า "เราคือผู้แทนราษฎร เรามาจากประชาชน" สอดคล้องกับคำประกาศของหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่หลายๆ ครั้งที่ปวารณาตัวเป็นผู้นำประชาธิปไตยในการต่อสู้กับอำนาจเผด็จการ หลายคนตั้งคำถามว่าการสวมเสื้อที่สกรีนข้อความแบบนี้ ในวาระการเข้าชี้แจงประเด็นการกระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายของหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ต้องการสื่อนัยยะอะไรหรือไม่
ส่วนมวลชนกลุ่มอื่นๆ มีทั้งสวมเสื้อสีส้ม และสีกรมท่า นอกจากนั้นยังมีการชูป้ายเขียนข้อความ แฮชแท็ก save thanathorn / save piyabutr และทวงความยุติธรรม

บางป้ายคัดลอกเนื้อหาจากประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มาด้วย แสดงว่ามีการเตรียมการมาเพื่อให้สอดคล้องกับคำประกาศของคุณธนาธรและคุณปิยบุตร ว่าจะฟ้องกลับ กกต.ในข้อหานี้ เพราะกล่าวหาาหัวหน้าพรรคด้วย "มูลเหตุจูงใจทางการเมือง"

จริงๆ แล้วคำว่า "มูลเหตุจูงใจทางการเมือง" เป็นคำทางกฎหมายที่ใช้กันในระดับสากล ไม่ใช่ภาษาชาวบ้านที่พูดกันทั่วๆไป น่าคิดว่าเป็นความพยายามสื่อสารไปในวงกว้างหรือไม่ว่า คดีนี้เป็นคดีกลั่นแกล้งกันทางการเมือง ฉะนั้นหากในอนาคตมีการลงโทษจำคุก (ข้อหาจงใจสมัครรับเลือกตั้งทั้งๆ ที่ขาดคุณสมบัติ มีโทษจำคุก 1-10 ปี ตามกฎหมายเลือกตั้ง มาตรา 151) ก็จะเป็นการตัดสินโทษจาก "มูลเหตุจูงใจทางการเมือง" เจ้าตัวสามารถลี้ภัยได้ ไม่สามารถขอตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ เพราะเป็นเรื่องทางการเมือง ประเด็นนี้เราวิเคราะห์ต่อกันเองนะ คุณธนาธร กับคุณปิยบุตรไม่ได้พูด แต่วิเคราะห์จากถ้อยคำที่ใช้

นอกจากนั้นยังมีมวลชนและผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ในหลายจังหวัด จัดกิจกรรมสนับสนุนคุณธนาธรด้วย จังหวัดหนึ่งออกมาทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ประมาณ 10-30 คน ไม่เว้นแม้กระทั่งสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็มีการกิจกรรมด้วยเช่นกัน

อย่างในภาพ เป็นผู้สมัครทั้ง 4 เขต และผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ที่จังหวัดปัตตานี มีการรวมตัวกันชูป้าย แฮชแท็ก save thanathorn พร้อมทำสัญลักษณ์ชูนิ้วสามนิ้ว ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นสัญลักษณ์ต้านอำนาจอธรรม นำมาจากภาพยนตร์ The Hunger Games มีการถ่ายรูปแชร์ในเฟซบุ๊ค ส่วนที่จังหวัดยะลา มีการแจกจ่ายลูกโป่งสีส้ม เขียนข้อความ "เคียงข้างธนาธร" ด้วย

สำหรับการเลือกตั้งเฉพาะในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ 11 เขต เมื่อวันที่ 24 มีนาคม แม้พรรคอนาคตใหม่ไม่ชนะ ส.ส.เขตเลยแม้แต่เขตเดียว แต่ก็ได้คะแนนรวมถึง 89,000 คะแนน มากเป็นอันดับ 6 จาก 23 พรรคการเมืองที่ได้คะแนนจากการเลือกตั้งที่ชายแดนใต้ ซึ่งถือว่าเป็นคะแนนไม่น้อยทีเดียว

ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ มีรายงานว่าฝ่ายความมั่นคงจับตาอย่างใกล้ชิด และมองว่าเหมือนเป็นการเคลื่อนไหว "ทดสอบกำลัง" ของมวลชนที่สนับสนุน ทั้งยังคาดการณ์หากถึงที่สุดแล้ว คุณธนาธรถูกตัดสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง และถูกเพิกถอนสิทธิ์ทางการเมือง ไม่ได้เดินเข้าสภา จะมีการระดมมวลชนออกมาแสดงพลังกดดันค่อนข้างแน่ ซึ่งการประเมินของฝ่ายความมั่นคงนี้ ก็สอดคล้องกับกระแสสังคมบางส่วนที่เริ่มกังวลกับสถานการณ์การเมืองหลังผ่านพ้นพระราชพิธีสำคัญ ว่าจะมีความวุ่นวายเกิดขึ้นหรือไม่

ทั้งหมดนี้เป็นการประเมินสถานการณ์จากฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เราไม่ได้กล่าวหาว่าใครเตรียมจะก่อความวุ่นวาย แต่ต้องยอมรับว่าเริ่มมีกระแสความกังวลเกิดขึ้น ฉะนั้นผู้ที่ถืออำนาจรัฐในมือ ต้องดำเนินการโดยยึดกรอบกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะถ้าทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ก็จะไม่มีปัญหาใดๆ ตามมา