ตำนานงูเห่าภาค 2 จับตาปี 62 "พลิกขั้ว" ซ้ำรอย
เมื่อวานล่าความจริง นำเสนอรายงานพิเศษ ฟื้นตำนานงูเห่า ภาค 1 ไปแล้ว วันนี้มาตามกันต่อภาค 2 ไม่ใช่แค่งูเห่าธรรมดา แต่เป็นงูยักษ์ระดับ "อนาคอนดา" เลยทีเดียว การลงสัตยาบันเป็นเอกสารของบรรดาหัวหน้าพรรคทั้ง 6 พรรค จึงยังไม่ใช่หลักประกันว่าจะไม่มี "งูเห่า"
แม้เมื่อวาน 2 ขั้วการเมืองใหญ่ ทั้งขั้วเพื่อไทย และขั้วพลังประชารัฐ ได้เปิดแถลงข่าวบลัฟกันว่าต่างฝ่ายมีเสียงข้างมากในมือ และจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลชุดต่อไป แต่ปัญหาก็คือ เสียงสนับสนุนของแต่ละฝ่ายก้ำกึ่งและเกินครึ่งของสภาผู้แทนราษฎรเพียงเล็กน้อย จนน่าเชื่อว่าจะไม่สามารถตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพได้ ทำให้เซียนการเมืองฟันธงว่า น่าจะมีปฏิบัติการ "งูเห่า" เกิดขึ้นอีก
จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองนั้น จริงๆ แล้วมี 2 รูปแบบ คือเปลี่ยนขั้วทั้งพรรค เป็นมติพรรค ก็แบบหนึ่ง แต่ที่เรียกว่า "งูเห่า" ไม่ใช่การมีมติพรรคเพื่อเปลี่ยนขั้วทางการเมือง แต่เป็นการดึงตัว หรือกระชากตัว ส.ส.สังกัดพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามให้หันมาสนับสนุนฝ่ายตัวเองในแบบที่เรียกว่า "ฝืนมติพรรค"
เหตุนี้เอง "เซียนการเมือง" จึงฟันธงว่าแถลงจับขั้วตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยใน พ.ศ.นี้ และมีการลงสัตยาบันเป็นเอกสารของบรรดาหัวหน้าพรรคทั้ง 6 พรรค จึงยังไม่ใช่หลักประกันว่าจะไม่มี "งูเห่า" เกิดขึ้น เพราะอาจมีการดึงตัว ส.ส.ในพรรคที่ลงสัตยาบันแล้ว ให้หันไปยกมือสนับสนุนอีกฝ่ายได้เช่นกัน เนื่องจากการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และโหวตรับหรือไม่รับร่างกฎหมายสำคัญต่างๆ เป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส. พรรคการเมืองไม่สามารถออกมติบังคับได้ โดยเรื่องนี้มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญก็เคยวินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐานแล้ว
ที่ "ล่าความจริง" นำประเด็นนี้ขึ้นมาพูด ไม่ได้แปลว่าเราสนับสนุน หรืออยากให้มี "งูเห่า" ในวงการการเมืองไทย เพราะจะว่าไปพฤตกรรม "งูเห่า" ก็ถูกตั้งคำถามว่าเป็นการทำลายหลักการพรรคการเมืองเข้มแข็ง และทรยศต่อประชาชนที่เลือก ส.ส.คนนั้นมาหรือไม่ เพราะประชาชนเลือก ส.ส.ที่สังกัดพรรค ก็ควรเคารพมติพรรค แต่อีกแง่คิดหนึ่งก็มองว่า ส.ส. ต้องมีเอกสิทธิ์ เพื่อไม่ให้ถูกพรรคครอบงำ มิฉะนั้น ส.ส.ก็จะกลายเป็นเหมือน "พนักงานบริษัท" ของพรรคการเมือง