(คลิปข่าว) 3 เหตุผลที่เพื่อไทย (อาจ) ไม่ชนะถล่มทลาย

ซึ่งการเลือกตั้งในครั้งนั้นมีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ คือบัตรเลือก ส.ส.เขต กับบัตรเลือกพรรค แยกจากกันชัดเจน ทำให้คนที่เลือกพรรคเพื่อไทยในบัตรปาร์ตี้ลิสต์ อาจไม่ได้เลือกผู้สมัคร ส.ส.เขตของพรรคเพื่อไทยก็ได้ ฉะนั้นเมื่อการเลือกตั้งครั้งนี้ใช้ระบบบัตรเลือกตั้งใบเดียว เลือกเฉพาะ ส.ส.เขต จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า คะแนนประเทศของพรรคเพื่อไทยจะลดลง

สอง พรรคเพื่อไทยส่ง ส.ส.ในระบบแบ่งเขตเพียง 250 เขต จาก 350 เขต หายไป 100 เขต ทำให้คะแนนประเทศของพรรคเพื่อไทยน่าจะน้อยลงไปอีก และหากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งในระบบเขตมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้โอกาสการได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์น้อยลงเท่านั้น ส่งผลให้แคนดิเดตนายกฯลำดับที่ 1 ของพรรค คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ต้องออกมารณรงค์แคมเปญเลือกพรรคเพื่อไทยให้ได้คะแนนเกิน 70,000 คะแนนทุกเขต เพื่อดันคะแนนประเทศของเพื่อไทยให้ได้มากขึ้น จะได้มีสัดส่วน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์มาเติม ส.ส.ในระบบเขต

สาม อดีต ส.ส.คนสำคัญของพรรคเพื่อไทยที่มีเสียงสนับสนุนหนาแน่นในระบบเขต ย้ายออกจากพรรคไปจำนวนหนึ่ง ทำให้บางเขตเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยน่าจะพ่ายแพ้ หรือแม้จะเอาชนะได้ ก็จะชนะด้วยคะแนนที่น้อยลง

ยิ่งไปกว่านั้นพรรคเพื่อไทยยังมีความพร้อมในการสู้ศึกเลือกตั้งน้อยกว่าครั้งก่อนๆ และมีปัญหาภายใน หัวหน้าพรรคหรือผู้นำพรรคไม่สามารถสร้างกระแสฟีเวอร์ได้เหมือนปี 54 และเครือข่ายผู้สนับสนุน โดยเฉพาะคนเสื้อแดง แตกออกเป็นหลายกลุ่มหลายพวก

นี่คือ 3 เหตุผลที่ทำให้บางฝ่ายเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะเอาชนะคู่แข่งแบบ "ไม่ขาดลอย" และหากผลการเลือกตั้งออกมาแบบ "ชนะไม่ขาด" โดยมีพรรคพลังประชารัฐผงาดขึ้นมาเป็นพรรคอันดับ 2 ก็จะทำให้พรรคการเมืองบางพรรคที่เคยประกาศว่าไม่ร่วมมือกับพรรคพลังประชารัฐ หันกลับมาจับมือกันตั้งรัฐบาลก็ได้ เพราะผลการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม จะเป็นตัวชี้ขาดทั้งหมด