ในวาระ 15 ปีทนายสมชายถูกอุ้มหาย คุณอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งเป็นภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของทนายสมชาย ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัว หัวเรื่องว่า "15ปีสมชาย นีละไพจิตร: ความยุติธรรมไม่มีจริง" บอกเล่าประสบการณ์การต่อสู้คดี "การบังคับบุคคลให้สูญหาย" หรือ "คดีอุ้มหาย" ในประเทศไทย ซึ่งไม่มีกฎหมายรองรับเป็นการเฉพาะ ต้องอาศัยการปรับบทจากกฎหมายอาญา คือ กักขังหน่วงเหนี่ยว ทำร้าย หรือฆ่า ทำให้การจะเอาผิดตามหลักกฎหมายอาญาได้ ต้องมีหลักฐานที่มีน้ำหนักชัดเจน ฉะนั้นหากผู้กระทำการ "อุ้มฆ่า" หรือ "อุ้มหาย" เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเสียเอง ย่อมเป็นเรื่องยากที่ครอบครัวผู้สูญเสียจะแสวงหาหลักฐานมาได้ ทำให้มีโอกาสสูงที่ผู้กระทำจะลอยนวล พ้นผิด เหมือนดังเช่นคดีทนายสมชายที่สุดท้ายศาลฎีกาก็ยกฟ้อง ทั้งๆ ที่ในศาลชั้นต้น ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยซึ่งเป็นอดีตตำรวจ 1 นาย แต่ศาลสูงยกฟ้อง และอดีตตำรวจคนนี้ยังหายตัวไปอย่างลึกลับจากเหตุโคลนถล่มที่อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลกด้วย
คุณอังคณาสรุปประเด็นนี้ว่า ใน "คดีบังคับสูญหาย" หรือ "คดีอุ้มหาย" ต่อให้มีพยานเห็นเหตุการณ์และยืนยันตัวผู้ลักพาตัวได้ แต่สุดท้ายก็จะไม่สามารถเอาผิดใครได้ เนื่องจาก "ไม่มีผู้เสียหาย" เพราะตามกฎหมายไทย ความผิดอาญาเป็นความผิดต่อส่วนตัว ผู้เสียหายจึงต้องร้องทุกข์กล่าวโทษด้วยตนเอง
ส่วนกรณีทนายสมชาย แม้จะมีพยานแวดล้อมทำให้สังคมเชื่อว่าทนายสมชายเสียชีวิตไปแล้ว โดยเฉพาะคำให้สัมภาษณ์ของอดีตนายกฯ และข้อเท็จจริงที่ศาลฟังเป็นที่ยุติว่าทนายสมชายถูกคนกลุ่มหนึ่งผลักขึ้นรถ แล้วไม่มีผู้ใดพบเห็นเขาอีก แต่ครอบครัวก็ยังเป็นผู้เสียหายไม่ได้อยู่ดี คดีอุ้มหายจึงไม่มีผู้เสียหายถ้าไม่มีใครพบศพ หรือแปลแบบตลกร้ายก็คือ "เมื่อไม่พบศพ แสดงว่าไม่ตาย"