คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เข้าควบคุมอำนาจการปกครองเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ปี 57 และเริ่มจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีตั้งแต่ปีงบประมาณ 2558 จนถึงปัจจุบันรวมแล้ว 5 ปีงบประมาณ ปรากฏว่างบประมาณของกระทรวงกลาโหม สูงขึ้นทุกปี เฉลี่ยปีละเกือบๆ หมื่นล้าน
ย้อนกลับไปงบประมาณปี 2557 ก่อน คสช.ยึดอำนาจ งบกระทรวงกลาโหมอยู่ที่ 1.83 แสนล้านบาท จากนั้นเมื่อรัฐบาล คสช.เข้ามาจัดทำงบปี 58 ปรากฏว่างบกลาโหมพุ่งสูงขึ้นเป็น 1.92 แสนล้านบาท หรือเกือบ 1 หมื่นล้าน ปี 59 เพิ่มต่อเนื่องเป็น 2.06 แสนล้านบาท ปี 60 ขยับเป็น 2.13 แสนล้านบาท ปี 61 ก็ยังคงมีทิศทางขาขึ้น เป็น 2.20 แสนล้านบาท และล่าสุดปีงบประมาณ 2562 งบกลาโหมอยู่ที่ 2.27 แสนล้านบาท
ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2562 ที่ผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติไปเรียบร้อยแล้ว กระทรวงกลาโหมได้รับการจัดสรรงบสูงเป็นอันดับ 4 ในกลุ่มกระทรวงและหน่วยงานอื่นที่มีฐานะเทียบเท่ากระทรวง รวม 20 หน่วยงาน โดยกระทรวงที่ได้รับจัดสรรงบสูงกว่ามีเพียงกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลังเท่านั้น ขณะที่กระทรวงสาธารณสุข ยังได้รับงบน้อยกว่ากระทรวงกลาโหม
"รถเกราะ-รถถัง-เรือดำน้ำ" แห่ประจำการยุค คสช.
ในยุครัฐบาล คสช. ยังเป็นอีกยุคหนึ่งที่มีการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ราคาแพงจำนวนหลายรายการ แม้บางรายการจะโครงการที่ทำสัญญาและผูกพันงบประมาณมาก่อนการยึดอำนาจก็ตาม แต่ในช่วงที่ คสช.มีอำนาจ ก็ยังมีการจัดซื้อเพิ่มเติมอีกจำนวนมาก โดยช่วงต้นๆ ของรัฐบาลเน้นซื้อยุทโธปกรณ์จากจีน ต่อมาในช่วงกลางและช่วงปลายของรัฐบาล เริ่มหันไปซื้อยุทโธปกรณ์จากสหรัฐ มหามิตรเก่าของไทย
ยุทโธปกรณ์ที่จัดซื้อจากจีน ที่สำคัญก็เช่น รถถัง VT-4 จำนวน 1 กองพัน 49 คัน งบรวม 9,000 ล้านบาท , เรือดำน้ำรุ่น S-26T ลำแรก 13,500 ล้านบาท ทั้งโครงการ 3 ลำ 36,000 ล้านบาท , รถเกราะล้อยาง รุ่น VN-1 จำนวน 34 คัน งบ 2,300 ล้านบาท
ส่วนยุทโธปกรณ์ที่ซื้อจากสหรัฐ ที่สำคัญก็เช่น เฮลิคอปเตอร์แบบแบล็คฮอว์ค จำนวน 4 ลำ ไม่ระบุราคา แต่ราคาต่อลำราวๆ 700 ล้านบาท นอกจากนั้นยังมีขีปนาวุธระบบฮาร์พูน ที่ใช้ติดตั้งบนเรือผิวน้ำอีก 800 ล้านบาทด้วย