เรือฟริเกตลำใหม่ของกองทัพเรือไทย ภายใต้ชื่อ "เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช" ออกเดินทางจากสาธารณรัฐเกาหลี ฝ่ามรสุมพายุโซนร้อนปาบึก เข้าสู่น่านน้ำไทยอย่างเป็นทางการเมื่อวันเสาร์ที่ 5 มกราคมที่ผ่านมา โดยกองทัพเรือจัดหมู่เรือฟริเกต 3 ลำต้อนรับ ประกอบด้วย เรือหลวงนเรศวร เรือหลวงตากสิน และเรือหลวงรัตนโกสินทร์
สำหรับพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ กำหนดไว้ในช่วง 17.15 น.วันนี้ ที่ท่าเรือจุกเสม็ด อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดย พลเรือเอก ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธี
สำหรับชื่อเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงพระราชทานให้ จากเดิมที่กองทัพเรือทูลเกล้าฯ ถวายชื่อขึ้นไปว่า "เรือหลวงท่าจีน" โดยชื่อเรือใหม่ เป็นพระนามของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความหมาย
โดยคำว่า "ภูมิพล" หมายถึง พลังแห่งแผ่นดิน คำว่า "อดุลยเดช" หมายถึง อำนาจที่ไม่อาจเทียบได้ นับเป็นสิริมงคลและยังความปลาบปลื้มมาสู่กองทัพเรือและกำลังพลทุกนายอย่างหาที่สุดมิได้
เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช ถือเป็นเรือฟริเกตสมรรถนะสูงเกือบเท่าเรือพิฆาต สร้างในปี 2558 ใช้เวลา 1,963 วัน ต่อโดย Daewoo Shipbuilding & Marine Engineering (DSME) หรือเรียกกันสั้นๆว่า "อู่แดวู เกาหลีใต้" ด้วยงบประมาณราว 14,600 ล้านบาท มีระวางขับน้ำสูง 3,700 ตัน ความเร็วสูงสุดต่อเนื่อง 30 น็อต ระยะปฏิบัติการประมาณ 4,000 ไมล์ทะเล กำลังพล 141 นาย นับว่าเป็นเรือฟริเกตที่มีสมรรถนะสูงลำดับต้นๆ ของอาเซียน มีโครงสร้างแข็งแรง ใช้เทคโนโลยี Stealth ที่ยากต่อการถูกตรวจจับ มีโอกาสอยู่รอดสูงในสภาพแวดล้อมของการสู้รบ สามารถปฏิบัติงานในพื้นที่ปนเปื้อนนิวเคลียร์ เคมี ชีวะ ได้ สามารถอยู่ในทะเลโดยไม่ต้องรับการส่งกำลังบำรุงไม่น้อยกว่า 21 วัน หรือหากจะส่งกำลังบำรุง ก็ทำได้ในระหว่างเดินเรือ ทนทะเลได้ถึงสภาวะทะเลระดับ 6 ขึ้นไป
แบบของเรือ ได้รับการพัฒนามาจากแบบเรือพิฆาต ชั้น Kwanggaeto Class Destroyer (KDX-I) และสร้างโดยใช้มาตรฐานทางทหารของสหรัฐ และกองทัพเรือเกาหลีใต้ จึงไม่แปลกที่เรือจะมีความทันสมัย มีคุณค่าทางยุทธการสูง และเป็นกำลังรบทางเรือที่สำคัญตามยุทธศาสตร์ของกองทัพเรือ
นอกจากนั้นยังมีมีระบบอำนวยการรบ มีระบบตรวจการณ์ที่ทันสมัยและประสิทธิภาพสูง ทั้งเรดาร์และโซน่าร์ โดยเฉพาะโซน่าร์แบบลากท้าย ที่เพิ่มระยะในการตรวจจับเรือดำน้ำได้ไกลขึ้นกว่าเรือที่มีประจำการในประเทศไทยทั้งหมด ทำให้เรือลำนี้สามารถรบได้ใน 3 มิติ ทั้งผิวน้ำ ใต้น้ำ และทางอากาศ
สำหรับการป้องกันตัวเอง จะมีแท่นยิงเป้าลวง และระบบป้องกันตัวเองแบบ Phalanx (ฟาลัง) สามารถยิงทำลายอาวุธต่างๆ รวมถึงอากาศยานที่จะเข้าคุกคามเรือลำได้ ขณะเดียวกันยังมีระบบควบคุมความเสียหายแบบรวมการ และมีระบบควบคุมการแพร่สัญญาณออกจากตัวเรือ
ส่วนอาวุธที่ติดตั้งมาในตัวเรือ ล้วนเป็นอาวุธชั้นแนวหน้าของโลก ไม่ว่าจะเป็นปืนใหญ่เรือแบบ super lapid (ซุปเปอร์ ลาปิด) อาวุธปล่อยนำวิถีทำลายเรือผิวน้ำแบบฮาพูล แท่นยิงตอร์ปิโดปราบเรือดำน้ำ แบบ MK.54 และที่สำคัญ มีแท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีแนวดิ่ง แบบ MK.41 ที่สามารถยิงจรวจนำวิถีได้หลากหลายภารกิจ ถือเป็นหนึ่งเดียวในอาเซียน
นอกจากนี้ ยังมีระบบการรบที่สามารถใช้งานร่วมกับระบบการรบของเรือฟริเกต ชุดเรือหลวงนเรศวร และเรือหลวงจักรีนฤเบศร ได้ในลักษณะกองเรือ (Battle Group) รวมทั้งปฏิบัติการรบร่วมกับเครื่องบินขับไล่ของกองทัพอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถโจมตีเป้าพื้นน้ำและใต้น้ำด้วยเฮลิคอปเตอร์ประจำเรือ 1 ลำ
ในอนาคต กองทัพเรือมีแผนที่จะต่อเรือเอง เหมือนกับ "เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช" อีก 1 ลำ โดยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นไปตามแนวทางที่ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงสนับสนุนให้กองทัพเรือต่อเรือรบใช้เองมาตลอด
เมื่อขีดความสามารถของ "เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช" ล้ำสมัยแบบนี้ กองทัพเรือก็จะนำไปใช้ในภารกิจป้องกันอธิปไตยทางทะเล ดูแลรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยของเส้นทางคมนาคมทางทะเล ค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล รวมถึงช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติ ให้สมชื่อนามของเรือ ที่มีความหมายทั้ง พลังแห่งแผ่นดิน และอำนาจที่ไม่อาจเทียบได้