นายจุรินทร์ ระบุว่า ปัจจัยสนับสนุนการส่งออกในเดือนพ.ค.นั้น มาจาก 2 ปัจจัย ได้แก่ เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวโดยเฉพาะในตลาดสำคัญ คือ สหรัฐ จีน ยุโรป และญี่ปุ่น และผลจากการปฏิบัติการตามแผนการส่งออกซึ่งกระทรวงพาณิชย์ร่วมปฏิบัติงานกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิดและเข้มข้นผ่านกรอ.พาณิชย์ ทำให้สามารถแก้ปัญหาอุปสรรคต่างๆได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงทีรวมทั้งมีการจัดทำแผนเชิงรุกร่วมกันในปี 2564 ที่ทำให้การส่งออกในปีนี้ค่อยๆกลับมาเป็นบวก
สำหรับในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-พ.ค.2564) การส่งออกไทย มีมูลค่า 108,635.22 ล้านดอลลาร์สหรัฐขยายตัว 10.78% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนส่วนการนำเข้าของไทย มีมูลค่า 107,141.12 ล้านดอลลาร์สหรัฐขยายตัว 21.52% ส่งผลให้ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-พ.ค.2564) ไทยเกินดุลการค้า 1,494.10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เมื่อถามถึงแนวโน้มการส่งออกในปี 2564 นายจุรินทร์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าว่าการส่งออกในปีนี้จะขยายตัว4% แต่ตอนนี้ตัวเลขส่งออก 5 เดือนแรก(ม.ค.-พ.ค.2564) ขยายตัว 10.78% และมีการคาดการณ์ว่าการส่งออกจะยังคงเป็นหัวจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศยกเว้นจะมีวิกฤตที่กระทบไปทั้งโลก ส่วนการส่งออกทั้งปีจะขยายตัวได้ตัวเลข 2หลักหรือไม่นั้น กระทรวงพาณิชย์จะพยายามทำให้ดีที่สุด
"ตอนนี้ก็เห็นแล้ว 5 เดือน 10.78%แต่จนครบปี ผมคิดว่าเราจะพยายามทำให้ดีที่สุด และจะจับมือกับเอกชนอย่างใกล้ชิดต่อเนื่องต่อไปจะไม่แยกส่วนกันทำงาน" นายจุรินทร์ กล่าวและว่า"การที่เรายังไม่ปรับเป้า ก็ไม่ได้หมายความว่าตัวเลขส่งออกจะแย่ลงหรือดีขึ้นแต่ที่สำคัญ คือ ที่เรายังไม่ปรับเป้า ก็เพื่อป้องกันความสับสนเพราะเป้าที่สำคัญกว่าเป้าตัวเลข คือ เราต้องทำให้ได้มากที่สุดโดยไม่จำเป็นต้องมีเพดาน ต้องทำให้ดีที่สุด สุดความสามารถที่สุด"
ส่วนกรณีที่พบพนักงานในโรงงานติดเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับอาหารจะกระทบความเชื่อมั่นของลูกค้าในต่างประเทศหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่าเรื่องนี้เป็นเฉพาะกรณี ไม่ใช่เรื่องทั่วไป ซึ่งในภาพรวมแล้วอาหารไทยยังได้รับความเชื่อมั่นในตลาดโลกอยู่ ทั้งเรื่องรสชาติ คุณภาพและความปลอดภัยขณะที่กระทรวงพาณิชย์ได้ประชาสัมพันธ์และสั่งการให้ทูตพาณิชย์ชี้แจงทำความเข้าใจเรื่องต่างๆกับผู้ซื้อในต่างประเทศแล้ว
นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ผู้อำนวยการงานสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่าการส่งออกไทยเดือน พ.ค.2564 ที่ขยายตัว 41.59% นั้นเป็นอัตราการขยายตัวที่ดีกว่าหลายประเทศในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นจีน เวียดนามสิงคโปร์ และไต้หวัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยขณะที่สินค้าส่งออก 10 อันดับแรกของไทยพบว่าขยายตัวเกือบทุกตัวยกเว้นอัญมณีและเครื่องประดับที่หดตัวตามการส่งออกทองคำที่หดตัว