คุณบุษยาภรณ์ เด เฮซูส ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท พีเจ ชลบุรี พาราวู้ด ผู้ผลิตและส่งออกเฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพารา ไปจำหน่ายใน 14 ประเทศทั่วโลก รวมทั้่งสหรัฐฯ กล่าวในการสัมมนา Nation TV Virtual Forum Thailand Survival Post Covid-19:ครั้งที่ 1 "สหรัฐเดินหน้าพลิกฟื้นเศรษฐกิจ มองโอกาสการค้าไทยสหรัฐฯ" ระดมสมองทุกภาคส่วน เปิดมุมมอง พาประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าหลังจากเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในประเด็น "เจาะโอกาส SME ไทยในสหรัฐฯ" ว่า
ปัจจัยหลักในการส่งสินค้าไปขาย คือ ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคชาวอเมริกัน เพื่อให้สินค้าได้เข้าวางจำหน่ายในห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ เช่น Walmart, Target รวมถึงแพลตฟอร์มค้าปลีก Amazon ซึ่งถือเป็นการจัดจำหน่ายทั้่งทาง online และ offline
ยุทธศาสตร์การจำหน่ายในสหรัฐฯ ของพีเจ มีจุดเริ่มต้นจากการเป็น OEM ( Original Equipment Manufacturer) หรือ โรงงานที่รับผลิตสินค้า โดยมีเครื่องจักรในการผลิต และสร้างแบรนด์ของตัวเอง (Own brand) และขยายไปที่ E-commerce
พฤติกรรมผู้บริโภคเฟอร์นิเจอร์ในสหรัฐฯ ไม่เน้นใช้จนพัง สามารถเปลี่ยนได้เรื่อยๆ ที่เรียกว่าเป็นเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยการบริโภค ในกรณีของพีเจ พยายามเจาะตลาดให้เติบโตขึ้น 30% ทุกปี ไปพร้อมกับการชูแบรนด์ของตัวเอง ขณะที่ Amazon ก็มีสิ่งที่เอื้ออำนวยความสะดวกสำหรับ SME ที่เรียกว่า "Facility infrastructure" และทางพีเจก็เน้นผลิตสินค้าตามเทรนด์ "Sustainability" หรือ การรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ส่วนการทำให้ลูกค้าจะเห็นแบรนด์อยู่ในอันดับต้นๆ ของการต้นหาในแพลตฟอร์มออนไลน์ คือ "Source by price" หรือ ราคาได้ คุณภาพได้ ส่วนการแก้ปัญหาเรื่องค่าแรงและค่าขนส่ง ได้มีการนำ Smart Technology "ปิดไฟทำงาน" หรือ การใช้หุ่นยนต์ทำงานแทนมนุษย์โดยไม่ต้องเปิดไฟให้แสงสว่าง ช่วยประหยัดไฟฟ้า
การต่อสู้กับคู่แข่งใน Amazon ต้องเน้นว่า กระบวนการผลิตเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีมาตรฐานด้านจริยธรรม (Ethical Standard) และเน้นเรื่องการมี "ผู้หญิงเป็นเจ้าของ" (Woman's own)
ส่วนปัจจัยเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 กลับกลายเป็นผลดีกับพีเจ เพราะเมื่อคนต้อง work from home หรือ study at home ทำให้พวกเขาอยู่ที่บ้านมากขึ้น เป็นโอกาสที่พวกเขาจะเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ ทำให้บริษัทมีออเดอร์ต่อเนื่อง และกลับกลายเป็นว่า ปัญหาคือ demand ที่มากกว่าเดิมจนผลิตแทบไม่ทัน
การที่สหรัฐฯ มีการฉีดวัคซีนให้พลเมืองจำนวนมาก ส่งผลให้เกิด foot trafficหรือการที่ลูกค้าเข้าไปเลือกซื้อเองตามห้างฯ และการที่คนใช้บริการทั้ง online และ offline ในช่วงโควิดนี้ ถือว่าทำให้สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นใน 3-5 ปี ข้างหน้า มาเกิดขึ้นในตอนนี้ และมีแนวโน้มการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญคือ การบริโภคของชาว อเมริกันยังเป็นการยึดถือตามวัฒนธรรมที่ต้องเฉลิมฉลอง ตามเทศกาลที่สำคัญที่พวกเขาต้องออกมาจับจ่าย เช่น Thanksgiving และ Black Friday
ด้านคุณแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ หรือ NRF ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำธุรกิจด้านอาหารส่งออกไปยังสหรัฐ โดยระบุว่า NRF ซึ่งเพิ่งเข้าตลาดเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เป็นบริษัทด้านการผลิตและส่งออกอาหาร เน้นผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อแก้วิกฤตโลกร้อน แยกเป็น 3 ประเภทคือ APEC food, plant base food และ funtional food เพราะเทรนด์สำคัญของสหรัฐคือความยั่งยืนและโลกร้อน เขาจึงมองว่าอาหารที่มาจาก พืชและโปรตีนทางเลือก คือทางออกที่ดีในการลดคาร์บอน เพราะขยะจากอาหารมีส่วน ในการปล่อยคาร์บอนถึง 1 ใน 3 ของโลก
ปัจจุบัน NRF ส่งออกสินค้าประเภทอาหาร และเครื่องปรุงรส ไปยังสหรัฐ คิดเป็น 1 ใน 3 ของรายได้ทั้งหมด แต่อนาคตจะมีเป้าหมายในการสร้างโรงงานผลิต plant base food และมุ่งเป้าเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของสหรัฐด้วย
คุณแดน ยังแนะนำ 3 วิธีในการสำรวจว่าสินค้าแบบไหนเป็นที่ต้องการในตลาดสหรัฐ วิธีแรกคือการสำรวจจากยอดขายในซูเปอร์มาร์เก็ตหรือตัวแทนจำหน่ายว่าสินค้า ประเภทใดที่ขายดี วิธีที่สองคือการลงมือสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคด้วยตนเอง และสุด ท้ายคือร่วมมือกับพันธมิตรหรือผู้เชี่ยวชาญในการปรับรูปแบบหรือรสชาติของสินค้าให้ตรงความต้องการของผู้บริโภคในประเทศนั้นๆ
ผู้ประกอบการรายเล็กยังต้องให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ข้อมูลประชากรในสหรัฐ และการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่นในอีก 10 - 20 ปีข้างหน้า สหรัฐจะมี ประชากรที่มีเชื้อสายเอเชียและเม็กซิกันเพิ่มขึ้น ซึ่งคนเม็กซิกันจำนวนมากก็ชื่นชอบ อาหารไทย
สหรัฐอเมริกาถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกในแง่ของการบริโภค ต้องเข้าใจถึงความ เสรีในการแข่งขันที่ทำให้ Startup และ SME มีโอกาสที่จะเติบโต โดยเฉพาะนโยบายของสหรัฐที่จะทำให้โลกถูกแบ่งเป็น 2 ขั้ว คืออเมริกาและจีน ซึ่งนโยบายนี้ทำให้ซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่งในสหรัฐตอบรับด้วยการไม่ติดต่อกับผู้ผลิตจากจีนหรือไม่ขายของจากจีน ถ้าเราไปดูว่าจีนเคยส่งออกอะไรไปสหรัฐ แล้วเราส่งออกได้เหมือนกัน ก็จะเปิดโอกาสให้เราเข้าไปลองเสี่ยงในจุดนี้ได้
ส่วนการแข่งขันในตลาดออนไลน์ NRF ใช้กลยุทธ์หลัก คือ 1. การเติบโตด้วยตัวเอง ร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อกระจายสินค้า พัฒนาสินค้า และโปรโมททั้งทางออนไลน์และ ออฟไลน์ รวมถึงต้องให้ความสำคัญกับการตอบโจทย์กระแสสังคมด้านความยั่งยืนและ สิ่งแวดล้อม 2. การเข้าไปซื้อเบอร์หนึ่งของตลาด แล้วนำฐานข้อมูลกลุ่มลูกค้ามาของ เขาวิเคราะห์เพื่อขายสินค้าในหมวดอื่นๆให้ลูกค้ากลุ่มนี้
คุณแดนยังมองว่าอเมซอนคือช่องทางหลักในการทำความเข้าใจลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อวิเคราะห์ต่อว่าจะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างไร
NRF ยังเน้นการทำธุรกิจ OEM หรือการรับผลิตสินค้าด้านอาหารและเครื่องปรุงให้กับแบรนด์อื่นจากกว่า 20 ประเทศ ทำให้บริษัทมีความสามารถในการปรับรูปแบบของสินค้าให้เข้ากับความนิยมของลูกค้าได้
ขณะที่ผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งทำให้คนหันมาสั่งซื้อของผ่านออนไลน์มากขึ้น ได้ กลายเป็นผลกระทบทางบวกต่อสินค้าทุกประเภทของ NRF ทำให้มียอดสั่งสินค้าล่วงหน้านานกว่า 2-3 เดือน เพราะผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้ออาหารจากออฟไลน์มาเป็นออนไลน์ถึง 70% และจากในนั้น 30% คือลูกค้าที่อยากลองแบรนด์ใหม่ จึงเป็นโอกาสดีที่ทำให้ธุรกิจอาหารเติบโตขึ้น
อีกหนึ่งตลาดที่กำลังเป็นเทรนด์ในสหรัฐและในบ้านเราด้วย คือตลาดของสินค้าที่มีส่วนผสมของกัญชง ซึ่งเป็นกระแสที่มาแรงในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ทั้งในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องสำอาง ไปจนถึงกระแสลดโลกร้อนที่มองว่าต้นกัญชงช่วยลดปริมาณคาร์บอนได้ดีกว่าพืชชนิดอื่นถึง 4 เท่า ทั้งนี้ต้องตระหนักด้วยว่าตอนนี้ราคากัญชงในไทยยังมีราคาสูงกว่าเมืองนอก แต่ก็ถือเป็นอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ