สิ่งแรกที่ต้องชื่นชมจากเหตุการณ์นี้ก็คือบรรดาเพื่อนร่วมทีมชาติเดนมาร์กที่ช่วยกันปฐมพยาบาล พร้อมยืนล้อมรอบทีมแพทย์เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของ 'อิริคเซ่น' ไม่ให้มีภาพที่สะเทือนใจเผยแพร่ออกไปแม้พวกเขาเหล่านั้นก็กำลังช็อกอยู่เช่นกัน รวมถึงการพยายามควบคุมสถานการณ์ ไม่ตื่นตระหนกในสถานการณ์คับขันที่เกิดขึ้นตรงหน้า คอยปลอบโยนคนในครอบครัวของจอมทัพรายนี้ที่ต้องเห็นภาพสุดสะเทือนใจพร้อมๆกับคนนับล้านทั่วโลกที่ชมการถ่ายทอดสดอยู่ทางบ้าน
เปิดนโยบาย CPR เดนมาร์ก: เพราะการกู้ชีพเป็นเรื่องใกล้ตัว
การเข้าไปช่วยเพื่อนได้อย่างทันท่วงทีของพลพรรคโคนมในครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จของเดนมาร์กในการให้ความรู้เรื่องการทำ CPR หรือการปั๊มหัวใจกู้ชีพให้แก่ประชาชน โดยเดนมาร์กเริ่มดำเนินนโยบายระดับชาติเพื่อให้ความรู้ในการทำ CPR นอกโรงพยาบาลกับประชาชนตั้งแต่ปี 2005 มีการกระจายเอกสารแนะนำวิธีการทำ CPR กับประชาชนกว่า 150,000 ชุด, เด็กๆ เริ่มเรียนรู้เรื่องการทำ CPR ตั้งแต่เรียนชั้นประถม และมีการบรรจุหลักสูตรการทำ CPR สำหรับผู้ที่จะสอบใบขับขี่
จากนโยบายดังกล่าว ส่งผลให้ลดการสูญเสียได้เป็นอย่างดี โดยในปี 2013 มีผลการศึกษาว่า ผู้ที่เกิดอาการหัวใจวายในเดนมาร์กมีโอกาสที่จะรอดชีวิตมากขึ้นถึง 3 เท่า เทียบกับเมื่อ 10 ปีก่อนจะมีกฏหมายนี้
นอกจากจะเป็นความสำเร็จของชาวเดนมาร์กแล้ว "ฟีฟ่า" ซึ่งเป็นองค์กรที่กำกับดูแลวงการฟุตบอลก็ถือว่าเตรียมพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ได้ดีเช่นกัน เพราะพวกเขามีบทเรียนล้ำค่ามาแล้วเมื่อหลายปีก่อน กับการจากไปของ "มาร์ค วิเวียง โฟเอ้" ดาวเตะทีมชาติแคเมอรูน ที่ทำให้วงการลูกหนังเริ่มให้ความสำคัญกับ "การกู้ชีพ"
"มาร์ค วิเวียง โฟเอ้" หนึ่งชีวิตช่วยหลายชีวิต
สำหรับเหตุการณ์นักฟุตบอลวูบคาสนาม แม้จะไม่ได้เกิดขึ้นให้เห็นบ่อยๆ แต่ที่คอลูกหนังจำได้ติดตาจนถึงทุกวันนี้ คือเหตุการณ์ในศึกฟุตบอล ฟีฟ่า คอนเฟเดอเรชันส์ คัพ ปี 2003 ที่ มาร์ค วิเวียง โฟเอ้ ดาวเตะทีมชาติแคเมอรูน ล้มหมดสติและเสียชีวิตคาสนามในเกมรอบรองชนะเลิศที่พบกับโคลอมเบีย
ณ เวลานั้น อาการหัวใจวายกับนักกีฬาถือว่าเป็นเรื่อง "ไกลตัว" ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ เพราะธรรมชาติของนักกีฬาต้องมีความแข็งแรง รวมถึงมีการทดสอบสมรรถภาพร่างกายอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ ทีมแพทย์ข้างสนามจึงไม่เคยเตรียมการรับมือกับเคสแบบนี้ ได้แต่จับพลิกตัวไปมาและแค่ซับเหงื่อ กว่าจะเริ่มรู้ว่าต้องปั๊มหัวใจ เวลาก็ผ่านไปกว่า 5 นาทีแล้ว ซึ่งช้าเกินกว่าจะช่วยชีวิตไว้ได้
บทเรียนจากการเสียชีวิตของ มาร์ค วิเวียง โฟเอ้ ในครั้งนั้น ทำให้ทุกฝ่ายในวงการลูกหนังได้ตระหนักถึงความสำคัญของการ CPR โดยฟีฟ่าเริ่มมีการฝึกหลักสูตรให้ทีมแพทย์ข้างสนามรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน ทั้งการทำ CPR และการใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า นอกจากนั้นยังผลักดันให้ทุกสนามแข่งขัน มีอุปกรณ์กระตุ้นการทำงานของหัวใจด้วยไฟฟ้าอัตโนมัติ (Automated External Defibrillator-AED) ที่สามารถนำมาใช้ได้ทันท่วงที
ในปัจจุบัน เพื่อป้องกันเคสหัวใจวายหรือการล้มลงหมดสติในสนาม ฟีฟ่าได้วางข้อแนะนำไว้ 9 ข้อ ดังนี้
1.หากมีผู้ล้มลง-หมดสติในสนามแข่งขัน แม้จะไม่ได้สัมผัสบอลหรือสิ่งกีดขวางก่อนหน้าก็ตาม ให้ทีมแพทย์เข้าถึงตัวทันที เนื่องด้วยเวลาเป็นปัจจัยสำคัญในสถานการณ์นี้2.ตรวจสอบการตอบสนองของผู้ป่วย3.พลิกตัวเป็นท่านอนหงาย ระวังคอให้มาก4.แจ้งหน่วยฉุกเฉินโดยเร็วที่สุดหากไม่มีคนที่มีความรู้ความชำนาญคอยช่วยเหลือ5.ควรมีเครื่องกระตุ้นหัวใจอัตโนมัติในทุกสนาม รวมถึงสนามฝึกซ้อม หากไม่มีอยู่ใกล้ๆ ให้ร้องขอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที6.ในขณะที่มีคนกำลังจัดการกับเครื่องกระตุ้นหัวใจ (ถ้ามี) หรือติดต่อแผนกฉุกเฉิน ให้ทำ CPR ไปด้วยโดยเร็วที่สุด และอย่าหยุดโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ได้7.เมื่อเครื่องกระตุ้นหัวใจมาถึง ให้เริ่มเปิดเครื่องทำงานทันที โดยทำตามคำแนะนำที่ติดอยู่ข้างอุปกรณ์8.แจ้งรถฉุกเฉินเพื่อนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล9.รถฉุกเฉินจะนำเทคนิคขั้นสูงด้านการกระตุ้นหัวใจและรักษาสัญญาณชีพมาใช้ก่อนถึงมือแพทย์ต่อไป แม้ทุกการสูญเสียจะเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่อย่างน้อย ก็เป็นบทเรียนที่ทำให้เรานำมาปรับปรุงแก้ไข เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดอย่างในอดีตอีก และกรณีของ คริสเตียน อีริคเซ่น ก็เป็นตัวอย่างชัดเจนที่ทำให้เห็นว่า วงการลูกหนังประสบความสำเร็จในการดูแลชีวิตของนักกีฬาได้อย่างไร