"ทนายตั้ม" จัดหนัก ตร.ทำคดี "ลุงพล" ตั้งธงคนผิดไม่สนหลักฐาน

นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เดินทางไปยัง สภ.กกตูม จ.มุกดาหาร เพื่อเข้าพบนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล พร้อมระบุถึงแนวทางการสู้คดีว่า วางแนวทางไว้ตั้งแต่ก่อนถูกหมายจับ ซึ่งกรณีเจ้าหน้าที่ให้สัมภาษณ์ว่าดีเอ็นเอเกี่ยวกับลุงพล ทำให้สังคมเข้าใจผิด ทำไมไม่ระบุไปเลยว่า เป็นดีเอ็นเอป้าแต๋น ฉะนั้นอยากให้ตำรวจชี้แจงว่า ใช้วิธีตรวจแบบไหน ถึงบอกว่า เป็นป้าแต๋น วิธีการตรวจเชื่อถือได้มากหรือไม่

"เวลาการสืบสวนสอบสวน เข้าใจว่า ต้องการหาตัวผู้กระทำความผิด แต่ว่าการหาตัวผู้กระทำความผิด ไม่ใช่ว่า มุ่งไปว่าคนนี้ผิดแน่ๆ แล้วหาหลักฐานไปทำให้เขาเป็นคนผิดให้ได้ มันต้องให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย เมื่อขึ้นศาลก็ต้องยืนยันให้มั่นคง ไม่ใช่ออกหมายจับได้แล้วชนะเลย การออกหมายจับเพิ่งเป็นการเริ่มต้นเท่านั้น ไม่ใช่จะปิดคดีนี้ได้ ถ้าวันหนึ่งศาลตัดสินว่าลุงพลผิด ท่านสุวัฒน์ สุดยอดเลย"

นายษิทรา กล่าวว่า หลังจากนี้จะยื่นประกันตัว แต่ต้องขอความเมตตาต่อศาล เพราะว่าที่ผ่านมา ลุงพลไม่มีพฤติการณ์หลบหนี หรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จึงอยากจะขอมาต่อสู้ข้างนอก เพราะถ้าหากไม่ได้ประกันตัว จะใช้เวลาในการต่อสู้ข้างในนาน โดยเตรียมพยานหลักฐานทุกมิติ เพื่อแสดงต่อศาล ตอนนี้มีแล้ว 70 เปอร์เซ็นต์ หลักฐานที่เตรียมมา ต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหาคำตอบ เพื่อนำมาต่อสู้คดีกัน

ส่วนข้อกล่าวหาทั้ง 3 ข้อ มองว่าเป็นการคาดคะเนของชุดสืบสวน ไม่มีพยานเป็นประจักษ์บุคคลที่ชัดเจนว่า ลุงพลมีพฤติการณ์ตามที่ถูกออกหมายจับ ขณะที่การมอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะตอนแรกไม่มั่นใจว่ามีหมายจับจริงหรือไม่ กระทั่งลุงพลมาถึงที่กรุงเทพ เลยแสดงความบริสุทธิ์ใจมอบตัว

แต่จากกระแสข่าวว่า ผบ.ตร. ไม่รับมอบตัว มองว่า หมายจับใช้ได้ทั่วราชอาณาจักร และ ผบ.ตร.เป็นพนักงานสอบสวนทั่วประเทศ แต่หากท่านบอกว่าไม่มีอำนาจรับ อาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้เช่นกัน

"ลุงพลแค่ถูกกล่าวหา ยังไม่ได้เป็นคนผิด หรือไม่ได้เป็นจำเลยด้วยซ้ำ การที่เอาลุงพลไว้ในคุก ไม่ทำให้ตำรวจทำงานง่ายขึ้นด้วยซ้ำ และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ทำสำนวนใกล้เสร็จแล้ว ส่วนความกังวลนั้น ยิ่งเห็นสำนวนยิ่งสบายใจ การแจ้งข้อหาที่เกิดขึ้น แต่ละข้อที่เป็นข้อหา ไม่พบพยานในสำนวนดังกล่าวว่ามีคนเห็นการกระทำตามข้อหา"