รายงานเอเอฟพี เปิดเผยว่า ตามข้อมูลที่รวบรวมได้ วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของซิโนฟาร์ม ซึ่งต้องฉีด 2 โดส ถูกใช้อยู่แล้วใน 42 ประเทศและดินแดนทั่วโลก โดยใช้มากเป็นอันดับ 4 รองจากแอสตร้าเซนเนก้า (166 ดินแดน), ไฟเซอร์-ไบออนเทค (94) และโมเดอร์นา (46)
ก่อนหน้านี้ WHO อนุมัติการใช้งานฉุกเฉินวัคซีนแล้ว 5 ชนิด ได้แก่ ไฟเซอร์-ไบออนเทค, โมเดอร์นา, จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน และแอสตร้าเซนเนก้าที่แยกผลิตกัน 2 แห่ง คือที่อินเดียและเกาหลีใต้ แต่ในวันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการ WHO แถลงข่าวที่นครเจนีวา ว่าบ่ายวันเดียวกันนี้ WHO ขึ้นบัญชีการใช้งานฉุกเฉินวัคซีนซิโนฟาร์มของจีน และถือเป็นวัคซีนโควิด-19 ชนิดที่ 6 ที่ได้รับการตรวจสอบจากดับเบิลยูเอชโอด้านความปลอดภัย, ประสิทธิภาพและคุณภาพ
นอกจากนี้ กลุ่มคณะที่ปรึกษายุทธศาสตร์ของผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อภูมิคุ้มกัน หรือ SAGE ยังได้พิจารณาทบทวนข้อมูลที่ได้ และให้การรับรองการใช้วัคซีนชนิดนี้กับผู้ใหญ่อายุ 18 ปีขึ้นไป โดยการฉีด 2 โดสตามกำหนดเวลา
การขึ้นทะเบียนอนุมัติใช้งานแบบฉุกเฉินจะเปิดทางให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกอนุมัติและนำเข้าวัคซีนได้อย่างรวดเร็วเพื่อการแจกจ่าย โดยเฉพาะในประเทศที่ไม่มีผู้กำกับดูแลของตนเองที่ได้มาตรฐานสากล อีกทั้งยังเปิดกว้างให้โครงการวัคซีนโคแวกซ์รับวัคซีนซิโนฟาร์มเข้าร่วมโครงการแบ่งปันวัคซีนทั่วโลกนี้ด้วย
นอกจากจีนที่ใช้วัคซีนซิโนฟาร์ม ประเทศอื่นที่ใช้วัคซีนนี้มีอาทิ แอลจีเรีย, แคเมอรูน, ฮังการี, อิรัก, อิหร่าน, ปากีสถาน, เปรู, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, เซอร์เบีย และเซเชลส์
ยังเหลือวัคซีนอีกหลายชนิดที่รอคิวการขึ้นบัญชีใช้งานแบบฉุกเฉินของ WHO ซึ่งรวมถึงวัคซีนซิโนฟาร์มตัวที่ 2 ที่ผลิตในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดนี้เป็นครั้งแรก
ส่วนวัคซีนของจีนอีกชนิดคือ ซิโนแวค ที่ใช้อยู่แล้วใน 22 ประเทศ คาดว่า WHO จะตัดสินใจภายในไม่กี่วันข้างหน้า โดยวัคซีนสปุตนิก วี ของรัสเซียเป็นวัคซีนที่อยู่ท้ายๆ แถวที่รอกระบวนการพิจารณาต่อไป