7 มีนาคม 2564 จากกรณีที่ น.ส.แดง (นามสมมติ) อายุ 38 ปี ชาวตำบลสะแกซำ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ พา ด.ญ.เอ (นามสมมติ) ลูกสาว อายุ 9 ขวบ ซึ่งเรียนอยู่ชั้น ป.2 โรงเรียนแห่งหนึ่งในตัวเมืองบุรีรัมย์ เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองบุรีรัมย์ ให้เอาผิดกับนายยงค์ อายุ 61 ปี อดีตข้าราชการครูโรงเรียนแห่งหนึ่งในตำบลสะแกซำ ที่เกษียณอายุราชการ ปัจจุบันทำอาชีพขับรถตู้รับ-ส่งนักเรียน โดยกล่าวหาว่านายยงค์ หรือครูยงค์ มีพฤติกรรมอนาจารลูกสาวของตัวเอง ด้วยการบังคับให้ลูกสาวจับอวัยวะเพศ ของนายยงค์ ทั้งถอดกางเกงโชว์อวัยวะเพศ และพยายามลวนลามลูกสาวหลายครั้งบนรถตู้ขณะรับ-ส่งไปโรงเรียน โดยอาศัยจังหวะที่ลูกสาวอยู่บนรถตู้คนเดียวเพราะนายยงค์ จะมารับลูกสาวของตนเองเป็นคนแรกก่อนจะขับไปรับเด็กคนอื่น แล้วตอนมาส่งก็จะส่งเพื่อนคนอื่นก่อนแล้วส่งลูกตัวเองคนสุดท้าย
ล่าสุดจากการสอบถาม น.ส.แดง บอกว่า ตอนนี้ที่เป็นห่วงมากที่สุดคือสภาพจิตใจของลูกสาว เพราะช่วงนี้ลูกจะเงียบซึมเศร้าผิดปกติ ตอนกลางคืนก็จะชอบนอนละเมอร้องไห้ ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคย เป็นลูกจะร่าเริงสดใส แต่พอใครถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก็จะซึมไม่พูด เบื้องต้นตนจึงได้ประสานไปยังทางโรงเรียนเพื่อขออนุญาตให้น้องได้หยุดพักอยู่บ้านก่อนสัก 1 สัปดาห์ เพราะเกรงว่าจะถูกเพื่อนล้อซึ่งจะยิ่งส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของน้องมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งอยากให้ทางโรงเรียนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางช่วยเหลือ เกี่ยวกับรถที่จะรับ-ส่งน้องไปโรงเรียน เพราะในหมู่บ้านมีเพียงรถตู้ของครูยงค์ คันเดียวที่รับ-ส่งเด็กนักเรียนไปเรียน แต่หลังเกิดเรื่องก็คงไม่ให้นั่งรถตู้ของครูยงค์ แล้ว
หลังเกิดเรื่องก็ยังไม่เห็นครูยงค์ หรือตัวแทนมาพูดคุยหรือขอโทษอะไรเลย แต่สำหรับหัวอกคนเป็นแม่ตอนนี้ยืนยันว่าไม่รับคำขอโทษหรือไกล่เกลี่ยใดๆ จะเอาเรื่องตามกฎหมายถึงที่สุด เพราะรับไม่ได้ที่ทำพฤติกรรมแบบนี้กับลูกสาว ทั้งที่ตนเองก็เคยเป็นลูกศิษย์ของครูยงค์ ไม่คิดว่าจะมาทำแบบนี้กับลูกสาว และที่กังวลคือกลัวจะไม่ได้รับความเป็นธรรม
ขณะที่นายสุวิทย์ กรรมการสถานศึกษาโรงเรียนที่ครูยงค์ เคยสอนก็ให้ข้อมูลว่า ก่อนที่ครูยงค์จะเกษียณประมาณ 3 4 เดือน หลานสาวของตนเองซึ่งตอนนั้นเรียนอยู่ชั้น ป.5 ก็มาบอกกับตนเองว่าถูกครูยงค์ ลวนลามจับหน้าอกและอวัยวะต่างๆ ของหลานสาวขณะเข้าไปใช้คอมพิวเตอร์ในห้องที่ครูยงค์ ปฏิบัติหน้าที่อยู่โรงเรียนหลายครั้ง จนหลานสาวกลัวบอกว่าไม่อยากไปโรงเรียนแล้ว ตนจึงตัดสินใจไปแจ้งกับทาง ผอ.ให้ทราบเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ตอนนั้น ผอ.เพิ่งย้ายมาดำรงตำแหน่งเพียงไม่กี่เดือน จึงขอร้องไม่ให้ตนเองเอาเรื่องครูยงค์ โดยบอกว่าอีกไม่กี่เดือนครูก็จะเกษียณแล้วไม่อยากให้เรื่องบานปลาย กลัวจะเสียชื่อโรงเรียนด้วย ด้วยความที่เห็นใจ ผอ.จึงไม่ไปแจ้งความเอาผิดครูยงค์ ทั้งที่ในใจโกรธมาก แต่ทางโรงเรียนก็ได้ทำทัณบนเอาไว้หากเกิดขึ้นอีกก็จะลงโทษตามระเบียบ กระทั่งครูยงค์ เกษียณยังไม่ถึงปีก็มาเกิดเรื่องขึ้นกับเด็กชั้น ป.2 อีก ซึ่งตนเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงตามที่เด็กเล่าแน่นอนเพราะหลานตนเคยโดนมาแล้ว ก็อยากให้เอาผิดครูคนดังกล่าวตามกฎหมายถึงที่สุด เพราะหากปล่อยไว้ก็จะมีเด็กคนอื่นตกเป็นเหยื่ออีก
จากนั้นผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังบ้านของครูยงค์ แต่ไม่พบครูยงค์ มีเพียงหลานสาวอยู่บ้านก็บอกว่าครูยงค์ออกไปข้างนอก เมื่อโทรศัพท์ไปขอสัมภาษณ์แต่ลูกชายที่อยู่กับครูยงค์ บอกว่าพ่อไม่ให้สัมภาษณ์และไม่ให้ข้อมูลใดๆ บอกแค่ว่าไม่ได้ทำตามที่ถูกกล่าวหา และขณะนี้ได้ตั้งทนายเพื่อสู้คดีแล้ว