คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานกลุ่มสร้างไทย ประเมินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า จากความเคลื่อนไหวของพรรครัฐบาล มองว่า แปลกประหลาด 2 ประเด็น ขอตั้งคำถามว่า สมาชิกรัฐสภาไม่รู้อำนาจตัวเองหรือ จึงต้องให้ศาลตีความอำนาจนิติบัญญัติ นับเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ขณะที่พรรคพลังประชารัฐยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่กลับยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเสียเอง ดังนั้น ผลสุดท้ายจะมีการแก้รัฐธรรมนูญโดยไม่มี ส.ส.ร. ดังนั้นจะเป็นการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับผู้มีอำนาจ เพราะเป็นแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยรัฐสภา แต่ไม่มีส่วนร่วมจากภาคประชาชน
นอกจากนี้ ยังทำให้ผู้มีอำนาจชุดนี้ มีอำนาจสร้างรัฐธรรมนูญถึง 2 ครั้ง ดังนั้น อยากเรียกร้องทุกฝ่าย รัฐบาล สมาชิกรัฐสภา รวมทั้งศาลรัฐธรรมนูญ เห็นแก่อนาคตประเทศ ร่วมกันมอบอำนาจการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้กับประชาชน เพื่อเขียนรัฐธรรมนูญเอื้ออำนวยต่อการทำมาหากิน และอยากให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยก่อนที่สภาจะลงมติวาระ 3 เพราะหากคำวินิจฉัยออกมาหลังวาระ 3 จะกลายเป็นว่า อำนาจการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะอยู่ที่พรรคพลังประชารัฐ และ ส.ว.เท่านั้น
ส่วนผลกระทบ หากมีการคว่ำการแก้รัฐธรรมนูญนั้น คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ไม่ได้มองถึงเรื่องการเลือกตั้ง แต่ต้องมองความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งทางออกที่สันติที่สุดคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากไม่ให้อำนาจประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะเกิดความวุ่นวาย และจะเกิดปัญหาตามมาทั้งเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจ ส่วนการเลือกตั้งในอนาคต ก็ไม่รู้ว่า รัฐบาลวางเป้าหมายอย่างไร แต่เชื่อว่า เป็นการเลือกตั้งที่ฝ่ายรัฐบาลได้เปรียบอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า ตัวรัฐธรรมนูญ กับเสถียรภาพของรัฐบาลเชื่อมโยงกันหรือไม่ คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ตามทฤษฎีควรจะเกี่ยวพันกัน แต่รัฐบาลนี้มีตัวช่วยจากองค์กรอิสระ
นอกจากนี้ คุณหญิงสุดารัตน์ยังเปิดเผยถึงความคืบหน้าการตั้งพรรคสร้างไทยว่า ใกล้จะเสร็จแล้ว
ด้านนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงทิศทางการแก้รัฐธรรมนูญ หลังศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องพิจารณาวินิจฉัยอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญและนัดแถลงด้วยวาจาในวันที่ 11 มีนาคมนี้ว่า มีความเป็นไปได้แต่ยากมาก ซึ่งต้องใช้เวลาสื่อสารกับสังคม โดยเฉพาะผู้มีอำนาจโดยตรง คือ ส.ว. และ ส.ส.พลังประชารัฐ และกุญแจสำคัญคือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยต้องเข้าใจว่าสังคมเห็นตรงกันว่าต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อประโยชน์ต่อบ้านเมือง แต่หากมีการล้มการแก้ร่างรัฐธรรมนูญไม่ว่าด้วยช่องทางใด จะเกิดความขัดแย้งจนทำให้ปัญหาต่างๆไม่ได้รับการแก้ไข และมีวิกฤตทางการเมืองมากยิ่งขึ้น
สำหรับท่าทีของ ส.ว.ที่มีแนวโน้มว่าจะโหวตคว่ำการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3 นายจาตุรนต์ให้ความเห็นว่า ปัญหามีมาตั้งแต่การลงมติที่ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ในส่วนของส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ก็มีความชัดเจนว่าทำตามนโยบายของรัฐบาล ทั้งที่ในความเป็นจริงเรื่องที่ควรส่งศาลพิจารณาควรเป็นเนื้อหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญหลังสภาแก้ไขเสร็จแล้ว เพราะตอนนี้ศาลจะพิจารณาได้อย่างไรในเมื่อรัฐสภายังทำเนื้อหาไม่เสร็จ
ส่วนกรณี ส.ว.ตั้งเงื่อนไขเพื่อเป็นข้ออ้างในการไม่รับร่าง คนมองว่าไม่มีเหตุผลเพราะรัฐธรรมนูญปัจจุบันไม่ได้ห้ามแก้หมวด 1 หมวด 2 แค่หากจะแก้เรื่องใดต้องทำประชามติ และหากมีการแก้แล้วไปฝ่าฝืนมาตรา 255 ซึ่งเป็นข้อห้ามในการแก้รัฐธรรมนูญ ก็สามารถส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาได้ภายหลัง การไปอ้างว่าห้ามแก้มาตราใดเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นการสร้างเงื่อนไขเพื่อไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ และต้องยอมรับว่า ส.ว.มีบทบาทมาก เพราะต้องการเสียงส.ว.84 เสียง หาก ส.ว.ไม่รับร่างนี้ก็จะคว่ำทันที ซึ่งตนมองว่าหากมาคว่ำในวาระ 3 จะทำให้ประชาชนหมดหวัง และอาจไม่คาดหวังอะไรกับสภาอีก จะส่งผลเสียต่อการแก้ปัญหาวิกฤติทางการเมืองอย่างร้ายแรง
ส่วนกรณีไม่สามารถแก้รัฐธรรมนูญได้แล้วต้องเข้าสู่กระบวนการแก้รายมาตรา นายจาตุรนต์มองว่า เป็นเรื่องที่ยุ่งยากและอาจแก้ไขไม่ได้ เพราะบางมาตรามีความเชื่อมโยงกัน ซึ่งหากเป็นแบบนี้จะยิ่งปิดโอกาสในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางสังคม
ทั้งนี้ได้ฝากถึง สภา-รัฐบาล ว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการสื่อสารกับ ส.ว.และส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ ให้เห็นแก่การแก้ปัญหาประเทศ เปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิ์ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมฝากถึงพลเอกประยุทธ์ อย่ายึดติดอำนาจ เพราะถ้าการแก้รัฐธรรมนูญไม่ผ่านคนที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือพลเอกประยุทธ์ที่จะมีความมั่นคงในตำแหน่งมากขึ้น พร้อมฝากถึง ส.ส.พลังประชารัฐให้เห็นแก่ประโยชน์บ้านเมือง เพราะสุดท้ายก็ต้องตัดสินด้วยการทำประชามติ