19 มกราคม 2564 เพจเฟซบุ๊ก "กรุงเทพมหานคร โดยสำนักงานประชาสัมพันธ์" โพสต์ข้อความแจ้งสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ระบุว่า...
การแถลงข่าวศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) วันอังคารที่ 19 มกราคม 2564 เวลา 11.30-12.15 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
- ทั่วโลก ผู้ป่วยรายใหม่ 473,750 ราย ผู้ป่วยสะสม 96,005,763 ราย ผู้เสียชีวิต 9,167 คน ผู้ป่วยเสียชีวิตรวม 2,049,238 คน
- ประเทศไทย ผู้ป่วยรายใหม่ 171 ราย รวมผู้ป่วยสะสม 12,594 ราย (ระลอกใหม่ 8,357 ราย) รักษาหายแล้ว 9,356 ราย ยังรักษาอยู่ 3,168 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต ผู้ป่วยเสียชีวิตรวม 70 คน
- กรุงเทพมหานคร ผู้ป่วยรายใหม่ 13 ราย รวมผู้ป่วยสะสม 2,140 ราย (ระลอกใหม่ 606 ราย)
ข้อสั่งการจากที่ประชุม ศบค.
1. สถานการณ์ต่างประเทศ คาดว่าอีกไม่กี่วันยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกจะถึง 100 ล้านคน โดยประเทศในเอเชียยังพบผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ อินเดีย อินโดนีเซีย ปากีสถาน ญี่ปุ่น บังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ เมียนมา ขณะที่ประเทศมาเลเซียยังมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในที่ประชุม EOC สธ.เห็นว่าจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างใกล้ชิด
2. สถานการณ์ผู้ป่วยรายใหม่ในวันนี้ 171 ราย แบ่งเป็น การติดเชื้อในประเทศ 158 ราย เป็นผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ 33 ราย (มีประวัติไปสถานที่เสี่ยง มีอาชีพเสี่ยง หรือสัมผัสผู้ป่วยก่อนหน้านี้) และจากการค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 125 ราย (แรงงานต่างด้าว)
การติดเชื้อจากต่างประเทศ 13 ราย เป็นผู้ป่วยที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานกักกันทุกประเภท (Quarantine Facilities) ทั้งนี้ แนวโน้มผู้ป่วยรายใหม่ยังทรงตัว ส่วนผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุกในชุมชนยังพบต่อเนื่อง เนื่องจากระบบการค้นหายังพบผู้ป่วยรายใหม่ หากมีการค้นหามากก็จะพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
3. จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศรายใหม่และสะสมระลอกใหม่ ตั้งแต่วันที่ 18 ธ.ค. 63 - 19 ม.ค. 64 มีผู้ติดเชื้อรวม 7,829 ราย โดยกรุงเทพฯ พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 13 ราย เป็นการติดเชื้อภายในประเทศ จากการไปพื้นที่เสี่ยง มีอาชีพเสี่ยง หรือสัมผัสกับผู้ป่วยก่อนหน้านี้ 9 ราย ประกอบด้วยเพศหญิง 5 ราย อายุ 23-47 ปี เพศชาย 4 ราย อายุ 28-64 ปี สัญชาติไทย 8 ราย แรงงานข้ามชาติ 1 ราย มีอาการป่วย 7 ราย และไม่มีอาการ 2 ราย
ติดเชื้อจากการคัดกรองเชิงรุกในชุมชน 4 ราย เป็นเพศหญิง 3 ราย อายุ 25 ปี 2 ราย และ 43 ปี 1 ราย เพศชาย 1 ราย อายุ 35 ปี สัญชาติไทย 2 ราย และแรงงานข้ามชาติ 2 ราย มีอาการ 2 ราย และไม่มีอาการ 2 ราย
4. จังหวัดที่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ขณะนี้กระจายไปใน 61 จังหวัดเท่าเดิม โดยจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อสะสมมากกว่า 50 ราย 10 จังหวัด จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อสะสม 11-50 ราย 12 จังหวัด จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อสะสม 1-10 ราย 39 จังหวัด และจังหวัดที่ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อมาก่อน 16 จังหวัด ส่วนจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อรักษาอยู่มากกว่า 100 ราย 4 จังหวัด โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคกลางและภาคตะวันออก
5. การค้นหาเชิงรุกใน จ.สมุทรสาคร สธ.มีแผนให้ทีมสอบสวนโรคเข้าไปตรวจเชิงรุก 50 คน/โรงงาน โดยตรวจให้ได้ 600 โรงงาน/วัน ขณะที่โรงงานที่อยู่ใน จ.สมุทรสาคร มีประมาณ 10,000 แห่ง เจ้าหน้าที่จึงต้องเร่งเข้าไปตรวจ แต่การเข้าตรวจเชิงรุกในโรงงานมีอุปสรรคหลายเรื่อง โดยเฉพาะบุคลากร ซึ่งขณะนี้ได้รับความร่วมมือจาก 12 เขตตรวจราชการ ที่เข้าไปสอบสวนโรค โดยกำหนดให้ดำเนินการแล้วเสร็จภายในเดือน ม.ค.63 เพื่อให้ทันกับการประกาศข้อกำหนดที่จะประเมินสถานการณ์ถึงวันที่ 31 ม.ค.นี้
6. การวิเคราะห์สถานการณ์การติดเชื้อในกรุงเทพฯ จากกราฟแสดงจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ในโรงพยาบาลและการค้นหาในชุมชนรายวันในกรุงเทพฯ วันนี้สถานการณ์อยู่ในระดับสูงคงตัว (12 ราย) ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 6 ราย ซึ่งต้องเน้นเฝ้าระวัง คัดกรองเชิงรุกในพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ จากสถานบริการ ผับ บาร์ ที่อาจมีความเชื่อมโยงกับจังหวัดปริมณฑล
โดยเขตที่มีผู้ป่วยยืนยันสูงสุด 5 อันดับแรก คือ เขตบางขุนเทียน (106 ราย) บางแค (27 ราย) บางพลัด (27 ราย) จอมทอง (25 ราย) และเขตธนบุรี (21 ราย) เขตที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยยืนยัน 2 เขต คือ เขตสัมพันธวงศ์ และเขตสะพานสูง นอกจากนี้ ยังต้องกำกับติดตามการกักตัวผู้สัมผัสเสี่ยงสูงระหว่างรอผลตรวจหาเชื้อจนครบ 14 วัน
7. การใช้งานแอปพลิเคชันหมอชนะ มีจำนวนยอดดาวน์โหลด 7.80 ล้านครั้ง จำนวนผู้ใช้งาน 6.34 ล้านคน การส่งแจ้งเตือนสะสม 4,232 ราย ซึ่งต้องขอขอบคุณคนไทยที่ให้ความไว้วางใจ แต่หากมีข้อติดขัดสามารถสะท้อนปัญหาได้ โดยข้อมูลจาก GISTDA รายงาน 5 จังหวัดที่มีสัดส่วนการประเมินกิจการ/กิจกรรม ในระดับที่ดีที่สุด ได้แก่ นครปฐม ระยอง ชลบุรี นนทบุรี และกรุงเทพฯ ซึ่งในกรุงเทพฯ มีกิจการ/กิจกรรมที่ได้คะแนนดี 5 อันดับแรก ได้แก่ ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารหรือเครื่องดื่ม รถโดยสารประจำทาง ร้านจำหน่ายอาหาร และหน่วยงานและสถานที่ราชการ