ย้อนเรื่องเศร้า "คาร์ฮุส" จากอดีต "เจ้าตูบผอมโซ" ที่เจ้าของคิดว่า..มันเป็นภาระเพราะตัวใหญ่ไป ใครจะคาดคิดว่าชีวิตมันพลิกผันครั้งใหญ่ หลังมีโอกาสที่สองผ่านเข้ามา แน่นอนหลังมรสุมกระหน่ำ ฟ้าหลังในย่อมงดงามเสมอ!!
เป็นเรื่องราวที่โดนใจคนรักน้องหมา ทาสหมาทั้งโซเชียลและผู้ที่ได้อ่านเรื่องราวของน้องหมาตัวโต "คาร์ฮุส" จากวันที่ถูกทอดทิ้ง เดียวดายอยู่ข้างทางไร้คนเหลียวแล จนวันที่ได้บ้านใหม่และเหมือนฝัน ที่วันหนึ่ง คาร์อุสพร้อมมีชีวิตใหม่ในต่างแดน
ย้อนเวลาไปในครั้งอดีต เจ้าตูบ "คาร์ฮุส" เจ้าตูบตัวใหญ่สายพันธุ์ดี อลาสกัน มาลามิวท์ ที่มีคนมาพบมันในสภาพน่าสงสารมาก โดยเจ้าตูบตัวนี้ มันถูกล่ามโซ่ทิ้งเอาไว้ที่หน้าร้านค้าริมถนนแห่งหนึ่ง สภาพของมันในตอนนั้นเล่ากันว่าขนหลุดร่วงทั้งตัว ร่างกายซูบผอมเหลือแต่กระดูก เหตุผลเพราะเจ้าของเก่ามันไม่ได้ต้องการมันอีกต่อไปแล้ว!!
โชคดี ที่คนที่เดินผ่านไปมายังสงสารมัน ได้ดูแลช่วยเหลือมัน และวันหนึ่งได้มีคนติดต่อประสานเรื่องไปทางศูนย์พักพิงของซอยด๊อก จ.ภูเก็ต เพื่อให้ช่วยเหลือเจ้าตูบตัวนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป และที่นั่นเอง ที่เป็นจุดที่เริ่มต้น ที่จุดประกายความหวังในการมีชีวิตอยู่ของเจ้าคาร์ฮุส อีกครั้ง ที่ๆ มันได้รับความรักจากมนุษย์อีกครั้ง โดยได้รับการฟื้นฟูทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ ด้วยความรักที่บริสุทธิ์ และจิตใจที่ดีงามของพี่ๆ เหล่าอาสาสมัครในมูลนิธิเพื่อสุนัขในซอย ประเทศไทย ที่คอยเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของมันให้ค่อยๆ ฟื้นคืนมาเพื่อที่จะมีชีวิตรอดต่อไปในวันข้างหน้า เพื่ออย่างน้อยให้มันลืมความเจ็บปวดที่ครั้งหนึ่งมันเคยถูกมนุษย์ที่มันรักสุดหัวใจได้ทอดทิ้งมัน!!
หลังจากที่เจ้าตูบ "คาร์ฮุส" ได้รับการดูแล ได้รับการฟื้นฟูสภาพทั้งร่างกายและจิตใจอย่างดีในศูนย์พักพิง โอกาสในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเจ้าคาร์ฮุสก็เกิดขึ้น
เมื่อทางมูลนิธิฯ ได้รับการติดต่อเข้ามา จากคู่สามี-ภรรยาชาวต่างชาติ ที่รับรู้เรื่องราวสุดเศร้าของเจ้าคาร์ฮุส พวกเขาไม่รีรอ ตัดสินใจ ที่จะขอรับมันมาเลี้ยงดู เป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัวและรวมถึงการพาเจ้าตูบไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ประเทศแคนาดา
ใครจะคิดว่าน้องหมาตัวหนึ่ง จะได้รับโอกาสที่ 2 ของชีวิตที่ดีและไปไกล กลายเป็นข่าวดังระหว่างประเทศขนาดนี้ !!
ขอแสดงความยินดีกับ "คาร์ฮุส"สุนัขผู้ซื่อสัตย์และสุนัขผู้ที่มีความเข้มแข็ง ขอให้มีชีวิตใหม่และครอบครัวใหม่ที่อบอุ่น พร้อมมอบความรักให้น้องอย่างจริงใจ...ตลอดไป
ขอขอบคุณที่มาของข่าว โลกของโฮ่ง