13 มกราคม 2564 ที่ชมรมม้าแข่งจังหวัดนครราชสีมา นายพุฒิพัฒน์ พงษ์ไชยกุล ประธานชมรมเจ้าของม้าแข่งจังหวัดนครราชสีมา พร้อมนายสุพจน์ ชอบทองหลาง ประธานชมรมผู้ฝึกซ้อมม้าแข่งจังหวัดนครราชสีมา, นายเกรียงไกร ใช้ฮั้วเจริญ ประธานชมรมผู้ขี่ม้าจังหวัดนครราชสีมา และนายฆนาราม ศรีคัทธะนาม ประธานชมรมผู้ฝึกซ้อมม้าแข่งกรุงเทพมหานคร และนางเบญจมาศ ธานี ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 1 ตำบลหนองไผ่ล้อม ร่วมประชุมปรึกษาหารือเพื่อหาทางออกให้แก่กลุ่มผู้ประกอบอาชีพในวงการม้าแข่งที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้ง 2 ระลอก
นายพุฒิพัฒน์ ฯ ประธานชมรมเจ้าของม้าแข่งจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาสนามม้าโคราช ถูกปิดตั้งแต่วันที่ 29 ก.พ. 63 ต่อเนื่องมายาวนานกว่า 11 เดือน ทุกอาชีพในวงการม้าแข่ง ได้รับผลกระทบเป็นลูกโซ่ ทั้งเจ้าของคอกม้า คนเลี้ยงม้า และบุคคลในวงการกีฬาม้าแข่งประมาณ 4 หมื่นคน ที่ได้รับผลกระทบ มีเงินหมุนเวียนที่สูญเสียไปกว่า 600 ล้านบาท ที่ผ่านมาไม่ได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐตั้งแต่การแพร่ระบาดรอบแรกจนถึงปัจจุบัน ซึ่งค่าใช้จ่ายในการดูแลม้า 1 ตัวอยู่ที่ประมาณ 15,000 บาท ถึง 20,000 บาท ต่อเดือน เป็นภาระที่หนักที่ทางเจ้าของคอกม้าแบกรับเอาไว้
ขณะนี้ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา มีคอกม้าที่ขึ้นทะเบียนกับทางชมรมเจ้าของม้าแข่งจังหวัดนครราชสีมา ทั้งหมด 70 คอก มีม้าแข่งทั้งหมดจำนวน 700 ตัว ถือว่ามากที่สุดในประเทศไทย ที่ผ่านมาผู้เกี่ยวข้องในวงการม้าแข่งโคราชได้ยื่นหนังสือไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งได้รับทราบถึงปัญหาดังกล่าวและนำข้อมูลไปเสนอในที่ประชุมต่อไป เพื่อให้การแข่งขันม้าแข่งกลับมาดำเนินการได้อีกครั้ง เป็นการส่งเสริมฟื้นฟู และสร้างรายได้ให้กับกลุ่มอาชีพในวงการกีฬาม้าแข่ง คาดว่าถ้าหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ดีขึ้น การแข่งขันม้าแข่งจะสามารถกลับมาจัดการแข่งขันได้อีกครั้งในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้ ขอให้เมตตาพิจารณาเปิดโอกาสให้กลุ่มอาชีพในวงการม้า เฉกเช่นกลุ่มอาชีพอื่น ๆ ด้วย เราพร้อมปฏิบัติตามมาตรการที่ ศบค.กำหนดทุกประการ
นางเบญจมาศ ฯ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 1 ตำบลหนองไผ่ล้อมฯ เปิดเผยว่า สนามม้าถือเป็นแหล่งเศรษฐกิจสำคัญของคนในพื้นที่ ช่วยสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในชุมชนโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ได้มีรายได้จากการค้าขายสินค้า อาหาร ทุกสัปดาห์ที่มีการจัดแข่งม้า ที่ผ่านมาเป็นระยะเวลากว่า 1 ปี ส่งผลให้กลุ่มอาชีพเหล่านี้ว่างงานโดยไม่มีกำหนด หากไม่เพียงพอจะกลายเป็นภาระให้ของลูกหลานที่ต้องหาเลี้ยงจุนเจือกันไปจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น หรือภาครัฐมีความเมตตาอนุญาตให้จัดแข่งม้า เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจในชุมชนกลับคืนสู่ภาวะปกติ