svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

"หมอประสิทธิ์" เผย โควิด-19 รอบนี้หนัก! ชี้ผู้เสียชีวิตไม่ใช่ปอดถูกทำลายสาเหตุเดียว

10 มกราคม 2564
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"หมอประสิทธิ์" เผย โควิดรอบนี้หนัก เบาหวาน-อ้วน-โรคหลอดเลือดหัวใจ คนมีโรคประจำตัวน่าห่วง ชี้ผู้เสียชีวิตไม่ใช่ปอดถูกทำลายสาเหตุเดียว แต่ตายจากไตวาย-เลือดไม่เลี้ยงแขนขา ย้ำไวรัสพัฒนาตัวเองพร้อมกลายพันธุ์เสมอ สสส. วอนคนไทยสร้างสุขภาพตนเองรับมือ

วันที่ 10 ม.ค.64 ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การระบาดโควิด 19 ระลอกใหม่ รุนแรงกว่าและต่างจากรอบแรก ด้วยหลายปัจจัย ตั้งแต่จุดเริ่มในที่อโคจร การกระทำผิดกฎหมายลักลอบเข้าเมือง คนไม่ยอมเปิดเผยตัว สืบสวนต้นตอที่มาของโรคยาก ความรุนแรงของโรคจากการกลายพันธุ์ โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเสี่ยง ที่ปอดทำงานไม่เต็มที่ เมื่อไวรัสจู่โจมระบบทางเดินหายใจ อาจทำลายปอด 10-20% จนปอดไม่พื้นกลับมา

"หมอประสิทธิ์" เผย โควิด-19 รอบนี้หนัก! ชี้ผู้เสียชีวิตไม่ใช่ปอดถูกทำลายสาเหตุเดียว



ได้แก่ 1. ผู้สูงอายุ เมื่ออายุมากขึ้น อวัยวะต่างๆจะเสื่อมตามกาลเวลา 2. คนที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับปอด เช่น โรคปอด มะเร็งปอด ถุงลมโป่งพอง แม้ปอดถูกทำลายเล็กน้อย ก็จะส่งผลต่อชีวิตอย่างมาก ร่างกายจะเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว 3. คนที่มีน้ำหนักมาก มีไขมันใต้ผิวหนัง หรือใต้ช่องท้องมาก รวมถึงผู้ป่วยเบาหวาน กลุ่มนี้เสี่ยงกับการหายใจที่ยากลำบากกว่าเดิม เพราะกระบังลมเคลื่อนไหวได้ยาก ทำให้ปอดทำงานได้น้อยลง
ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวอีกว่า งานวิจัยพบเมื่อโควิด 19 เข้าไปในร่างกาย ภูมิคุ้มกันจะทำงานเต็มที่สัปดาห์ที่ 2 หรือวันที่ 8 หลังรับเชื้อ เพื่อยับยั้งหรือช่วยไม่ให้เกิดโรค ถ้าภูมิคุ้มกันปกติ 2-3 สัปดาห์แรก จะทำงานเต็มที่จากนั้นค่อยๆ ลดลง จึงพบมีกลุ่มคนที่ได้รับเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ และหายได้เอง หากภูมิคุ้มกับไม่ปกติ เพราะมีโรคประจำตัว ที่ต้องใช้ยารักษาที่ไปกดภูมิคุ้มกัน

เช่น เบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลเองไม่ได้ เป็นโรคหลอดเลือด เม็ดเลือดขาวไม่สามารถจัดการเชื้อโรคได้ คนกลุ่มนี้เมื่อได้รับเชื้อโควิด 19 จะมีอาการรุนแรง ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงไม่เพียงปอดถูกทำลาย แต่มีจำนวนไม่น้อยที่เสียชีวิต เพราะไตวาย เลือดไม่ไปเลี้ยงแขนขา ความรุนแรงของเชื้อไปกระทบกับอวัยวะอื่นด้วย ดังนั้นผู้ที่มีโรคประจำตัวจึงเสี่ยงมากขึ้นไปอีก

"ธรรมชาติของไวรัสทุกชนิดไม่เฉพาะโควิด 19 มันจะปรับตัวหรือที่เรียกว่ากลายพันธุ์อยู่เสมอ อย่างในอังกฤษพบว่า เชื้อโควิด 19 ติดต่อได้ง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้น
ดังนั้นต้องช่วยกันลดปัจจัยเสี่ยง ที่จะกลายเป็นวิกฤต คือ 1.พบกับบุคคลเสี่ยง 2.อยู่ในพื้นที่เสี่ยง 3.ร่วมกิจกรรมเสี่ยง 4.เข้าไปช่วงเวลาเสี่ยง คนไทยทุกคนต้องร่วมกันจัดการกับ 4 เสี่ยงนี้ เท่าที่จะทำได้ตามปัจจัยและเงื่อนไขชีวิตตนเอง ไม่ต้องรอให้รัฐออกมาตรการ ไม่จำเป็นต้องให้มีการบังคับ นี่คือสิ่งที่เราจะช่วยปกป้องชีวิตของตัวเองและคนที่เรารัก" ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว

ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า กลุ่มประชาชนที่มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs อาทิ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไต หัวใจ เส้นเลือดอุดตัน และมะเร็ง มีความเสี่ยงโควิด 19 รุนแรงต่อโรคมากกว่าคนทั่วไปถึง 5 เท่า โดยผู้ป่วยเบาหวานในไทยมีถึง 4.8 ล้านคน และข้อมูลจาก UNIATF (United Nations Inter Agency Task Force Mission to Thailand on Noncommunicable Disease) รายงานว่า ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนจะเพิ่มความเสี่ยงการเกิดอาการรุนแรงของโควิด 19 ถึง 7 เท่า

"หมอประสิทธิ์" เผย โควิด-19 รอบนี้หนัก! ชี้ผู้เสียชีวิตไม่ใช่ปอดถูกทำลายสาเหตุเดียว



ขณะที่ของเด็กและเยาวชนมีปัญหาน้ำหนักเกินเพิ่มขึ้นถึง 13.1% ผู้ที่สูบบุหรี่ เพิ่มความเสี่ยงถึง 1.5 เท่า และการดื่มสุราส่งผลให้ร่างกายมีภูมิต้านทาน ในการต่อสู้กับไวรัสต่ำลง แม้จะดื่มหนักเพียงครั้งเดียว เราจึงควรดูแลสุขภาพอยู่เสมอ เพราะร่างกายที่ดีจะเป็นต้นทุนสำคัญ เพื่อต่อสู้กับทุกโรคไม่เฉพาะโควิด 19 และยกระดับการป้องกันตนเอง คนรอบข้าง และกลุ่มเสี่ยง
โดยใส่หน้ากาก หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่าง ไม่ให้ตนเองกลายเป็นบุคคลเสี่ยงเสียเอง เปรียบเสมือนเรากำลังสร้างวัคซีนทางพฤติกรรมป้องกันการติดเชื้อ ทั้งในขณะที่วัคซีนฉีดยังไม่มา หรือแม้กระทั่งมีวัคซีนกันแล้ว พฤติกรรมเสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรคเหล่านี้ก็ควรจะต้องยังปฏิบัติคู่ขนานไปต่อเนื่องไปด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลจากHfocus

logoline