ก่อนหน้านี้มีการนำเครื่องจับเท็จมาใช้ภายในสำนักงานพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1 เครื่อง แต่ปัจจุบันยังไม่มีการระบุว่า มีจำนวนเครื่องและการนำไปใช้ในพื้นที่ใดบ้าง
สำหรับการทำงานของเครื่องจับเท็จ เป็นการนำเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ และเทคนิคทางจิตวิทยามาใช้ควบคู่กัน โดยจะมีการวางตัวรับสัญญาณไว้บนร่างกาย ประมาณ 4 - 6 จุด ซึ่งเป็นการจับการเคลื่อนไหวและการขยับเขยื้อนทั้งหมดของผู้เข้ารับการทดสอบไม่ว่าจะเป็น อัตราการเต้นของหัวใจ ความถี่ของการหายใจเข้าออก เหงื่อที่ออกตามจุดต่างๆของร่างกายสีหน้าและแววตา และกริยาอื่นๆ เช่น การกัดลิ้น กระดิกเท้า จิกเล็บ เป็นต้น รวมถึงมีการบันทึกเสียงและวิดีโอเพื่อเป็นหลักฐานอีกด้วย
อ่านข่าว : เจ้าหน้าที่พฐ.นำตัวลุงพล-ป้าแต๋น เข้าเครื่องจับเท็จ
อาจารย์ กฤษณพงศ์ บอกอีกว่าการสอบสวนผ่านเครื่องจับเท็จจนทำให้สามารถไขคดีในได้ในที่สุด นั่น คือ คดีสะเทือนขวัญคนไทย เมื่อปี 2541 กรณีที่นายเสริม สาครราษฎร์ ฆ่าหั่นศพแฟนสาวรุ่นพี่ นางสาวเจนจิรา พลอยองุ่นศรี และอีกหนึ่งคดี คือ คดีแท็กซี่กำมะลอ นายสมพงษ์ เลือดทหาร ที่โกหกว่า ตนเองเก็บเงินและทรัพย์สินได้นับสิบล้านบาทแต่สุดท้ายคนร้ายทั้งสองคดีก็มาจนมุมจากนักสืบที่ชื่อว่า "เครื่องจับเท็จ"
แต่การจะใช้เครื่องจับเท็จให้ได้ผลสำเร็จมากที่สุดควรจะนำตัวผู้ต้องหาเข้ารับการสอบสวนผ่านเครื่องจับเท็จทันทีหลังเกิดเหตุเพื่อที่จะได้มีเวลาในการเตรียมตัวหรือหาข้อมูลมาเบี่ยงเบนประเด็นไม่ทันซึ่งจะช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถจับพิรุธที่เกิดขึ้นจากตัวผู้ต้องหาได้ไม่ยาก
แม้เครื่องจับเท็จมีส่วนสำคัญในการจับพิรุธพฤติกรรมจากคนร้าย ไม่ต่างจากหลักฐานอย่างกล้องวงจรปิด หรือ พยานบุคคล แต่ในทางการพิจารณาของศาลนั้นข้อมูลจากเครื่องจับเท็จก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในการพิจารณาคดีเท่านั้นและสิ่งที่สำคัญก็ คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติควรที่จะมีการพัฒนาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้เครื่องจับเท็จให้มากขึ้นกว่าเดิมโดยเฉพาะการให้เจ้าหน้าที่ผ่านการอบรมด้านนี้โดยตรง